วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
1.2 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย
หน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับไฟฟ้าในประเทศไทยตั้งแต่ระบบผลิต ระบบส่งจ่ายจนถึง
ระบบจำหน่ายให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า แบ่งเป็น 2 ภาคส่วน คือ
1) ภาครัฐ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)
2) ภาคเอกชน มีเฉพาะระบบผลิตไฟฟ้าเท่านั้น เช่น บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้งจำกัด (มหาชน) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่กำกับกิจการไฟฟ้าและกิจการก๊าซธรรมชาติภายใต้กรอบนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงพลังงาน
1. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมพ.ศ. 2512 โดยรัฐบาลได้รวมรัฐวิสาหกิจที่รับผิดชอบในการจัดหาไฟฟ้า ซึ่งได้แก่ การลิกไนท์ (กลน.)การไฟฟ้ายันฮี (กฟย.) และการไฟฟ้าตะวันออกเฉียงเหนือ (กฟ.อน.) เป็นหน่วยงานเดียวกัน คือ“การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย” มีชื่อย่อว่า “กฟผ.” มีนายเกษม จาติกวณิช เป็นผู้ว่าการคนแรก
กฟผ. เป็นรัฐวิสาหกิจด้านกิจการพลังงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน
และกระทรวงการคลัง มีภารกิจในการจัดหาพลังงานไฟฟ้าให้แก่ประชาชน โดยการผลิต จัดส่ง และ
จำหน่ายพลังงานไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และผู้ใช้ไฟฟ้ารายอื่น ๆ
ตามที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งประเทศใกล้เคียง พร้อมทั้งธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการไฟฟ้า
ภายใต้กรอบพระราชบัญญัติ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยระบบผลิตไฟฟ้าของ กฟผ.
ประกอบด้วยโรงไฟฟ้า 5 ประเภท คือ โรงไฟฟ้าพลังความร้อน โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม
โรงไฟฟ้าพลังน้ำ โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน และโรงไฟฟ้าดีเซล
นอกจากการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าของ กฟผ. แล้ว กฟผ. ยังรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิต
ไฟฟ้าเอกชน รวมทั้งรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ลาว และมาเลเซีย ซึ่ง
ดำเนินการจัดส่งไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าของ กฟผ. รวมถึงที่รับซื้อจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายอื่นผ่าน
ระบบส่งไฟฟ้าของ กฟผ. ซึ่งมีโครงข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ การไฟฟ้า
นครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ผู้ใช้ไฟฟ้าที่รับซื้อโดยตรง และประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ลาว
เมียนมาร์ และกัมพูชา
Call center
ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
หมายเลข 1416
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นรัฐวิสาหกิจด้านสาธารณูปโภค สังกัดกระทรวงมหาดไทย ก่อตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2503 โดยรับโอนทรัพย์สิน หนี้สิน และความรับผิดชอบขององค์การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในขณะนั้นมาดำเนินการอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย มีภารกิจในการผลิต จัดให้ได้มา จัดส่งจัดจำหน่ายและการบริการด้านพลังงานไฟฟ้าให้แก่ประชาชน ธุรกิจ และอุตสาหกรรมต่างๆในเขตจำหน่าย 74 จังหวัดทั่วประเทศ ยกเว้น กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มีหน้าที่กำหนดนโยบาย
และแผนงาน ให้คำแนะนำ ตลอดจนจัดหาวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้หน่วยงานในส่วนภูมิภาค สำหรับ
ในส่วนภูมิภาค แบ่งการบริหารงานออกเป็น 4 ภาค คือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ภาคกลางและภาคใต้ แต่ละภาคแบ่งออกเป็นเขต รวมเป็น 12 การไฟฟ้าเขต มีหน้าที่ควบคุมและ
ให้คำแนะนำแก่สำนักงานการไฟฟ้าต่าง ๆ ในสังกัดรวม 894 แห่ง ในความรับผิดชอบ 74 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ การไฟฟ้าจังหวัด 74 แห่ง การไฟฟ้าอำเภอ 732 แห่ง การไฟฟ้าตำบล
88 แห่ง หากประชาชนในส่วนภูมิภาคได้รับความขัดข้องเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า เช่น หม้อแปลงไฟฟ้า
ระเบิดเสาไฟฟ้าล้ม ไฟฟ้าดับ ไฟฟ้าตก บิลค่าไฟฟ้าไม่ถูกต้อง เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมไปถึง
การขอใช้ไฟฟ้า เปลี่ยนขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า สามารถติดต่อได้ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่อยู่ในแต่ละ
พื้นที่ หรือติดต่อ Call Center
Call Center ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
หมายเลข 1129
3. การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)
การไฟฟ้านครหลวงจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2501ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง พ.ศ. 2501 ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2530 และ พ.ศ. 2535เป็นรัฐวิสาหกิจประเภทสาธารณูปโภค สาขาพลังงาน สังกัดกระทรวงมหาดไทย มีภารกิจในการจัดให้ได้มา จำหน่าย ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้า และธุรกิจเกี่ยวเนื่องหรือที่เป็นประโยชน์แก่การไฟฟ้านครหลวง โดยมีพื้นที่เขตจำหน่ายใน 3 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ
หากประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ได้รับความขัดข้องเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า เช่น หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด เสาไฟฟ้าล้ม ไฟฟ้าดับ ไฟฟ้าตก บิลค่าไฟฟ้าไม่ถูกต้อง เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการขอใช้ไฟฟ้า เปลี่ยนขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า สามารถติดต่อได้ที่การไฟฟ้านครหลวงที่อยู่ในแต่ละพื้นที่ และมีช่องทางการติดต่อ คือ ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสาร และศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้า (MEA Call Center)
ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารการไฟฟ้านครหลวง
โทรศัพท์ 0-2252-8670
ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้า (MEA Call Center)
โทรศัพท์ 1130 หรือ อีเมล์ แอดเดรส :
CallCenter@mea.or.th (ตลอด 24 ชั่วโมง)
4. คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)
คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2551 ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 เพื่อแยกงานนโยบายและงานกำกับดูแล ออกจากการประกอบกิจการพลังงาน โดยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน ชุมชนและประชาชนมีส่วนร่วมและมีบทบาทมากขึ้น รวมทั้งให้การประกอบกิจการพลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความมั่นคง มีปริมาณเพียงพอและทั่วถึงในราคาที่เป็นธรรมและมีคุณภาพได้มาตรฐาน โดย กกพ. ทำหน้าที่กำกับกิจการไฟฟ้าและกิจการก๊าซธรรมชาติภายใต้กรอบนโยบายของรัฐ
ในการดำเนินงานของ กกพ. มีเป้าหมายสูงสุด คือ การกำกับดูแลกิจการพลังงานไทยให้เกิดความมั่นคง และสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน โดยมีการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่การจัดทำแผนยุทธศาสตร์การกำกับกิจการพลังงาน การจัดทำร่างกฎหมายลำดับรองตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการพลังงาน เช่น การเสนอร่างพระราชกฤษฎีกา การออกประกาศและระเบียบเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตการประกอบกิจการพลังงาน ทั้งนี้ ในการออกระเบียบและประกาศที่เกี่ยวข้องกับการบริหารและกำกับดูแลกิจการพลังงานที่มีผู้ได้รับผลกระทบ จะต้องดำเนินการด้านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นด้วย การออกใบอนุญาตการประกอบกิจการพลังงานและการอนุญาตผลิตพลังงานควบคุม กำหนดโครงสร้างค่าไฟฟ้า โดยพิจารณาปรับค่าไฟฟ้าฐานและค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) สามารถติดต่อได้ ตามช่องทางต่าง ๆ
โทร: 0 2207 3599
Call Center: 1204
อีเมล์: support@erc.or.th
1.1 การกำเนิดของไฟฟ้า
การกำเนิดของไฟฟ้า
ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของคำว่า “ไฟฟ้า” ไว้ว่า “พลังงานรูปหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับการแยกตัวออกมา หรือการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนหรือโปรตอนหรืออนุภาคอื่นที่มีสมบัติแสดงอำนาจคล้ายคลึงกับอิเล็กตรอนหรือโปรตอน ที่ก่อให้เกิดพลังงานอื่น เช่น ความร้อนแสงสว่าง การเคลื่อนที่ ”เป็นต้น โดยการกำเนิดพลังงานไฟฟ้าที่สำคัญ ๆ มี 5 วิธี ดังนี้
1. ไฟฟ้าที่เกิดจากการเสียดสีของวัตถุ เป็นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากการนำวัตถุต่างกัน 2 ชนิด
มาขัดสีกัน เช่น จากแท่งยางกับผ้าขนสัตว์ เนื่องจากเกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้า วัตถุทั้งสองจะแสดงศักย์ไฟฟ้าออกมาต่างกัน วัตถุชนิดหนึ่งแสดงศักย์ไฟฟ้าบวก (+) ออกมา วัตถุอีกชนิดหนึ่งแสดงศักย์ไฟฟ้าลบ (-) ออกมา ซึ่งเรียกว่า“ไฟฟ้าสถิต”ดังภาพ
ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของคำว่า “ไฟฟ้า” ไว้ว่า “พลังงานรูปหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับการแยกตัวออกมา หรือการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนหรือโปรตอนหรืออนุภาคอื่นที่มีสมบัติแสดงอำนาจคล้ายคลึงกับอิเล็กตรอนหรือโปรตอน ที่ก่อให้เกิดพลังงานอื่น เช่น ความร้อนแสงสว่าง การเคลื่อนที่ ”เป็นต้น โดยการกำเนิดพลังงานไฟฟ้าที่สำคัญ ๆ มี 5 วิธี ดังนี้
1. ไฟฟ้าที่เกิดจากการเสียดสีของวัตถุ เป็นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากการนำวัตถุต่างกัน 2 ชนิด
มาขัดสีกัน เช่น จากแท่งยางกับผ้าขนสัตว์ เนื่องจากเกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้า วัตถุทั้งสองจะแสดงศักย์ไฟฟ้าออกมาต่างกัน วัตถุชนิดหนึ่งแสดงศักย์ไฟฟ้าบวก (+) ออกมา วัตถุอีกชนิดหนึ่งแสดงศักย์ไฟฟ้าลบ (-) ออกมา ซึ่งเรียกว่า“ไฟฟ้าสถิต”ดังภาพ
2. ไฟฟ้าที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาทางเคมี เป็นไฟฟ้าที่เกิดจากการนำโลหะ 2 ชนิดที่แตกต่างกัน โลหะทั้งสองจะทำปฏิกิริยาเคมีกับสารละลายอิเล็กโทรไลท์ ซึ่งปฏิกิริยาทางเคมีแบบนี้เรียกว่า “โวลตาอิกเซลล์” เช่น สังกะสีกับทองแดงจุ่มลงในสารละลายอิเล็กโทรไลท์ จะเกิดปฏิกิริยาเคมีทำให้เกิดไฟฟ้าดังตัวอย่างในแบตเตอรี่ และถ่านอัลคาไลน์ (ถ่านไฟฉาย)
3. ไฟฟ้าที่เกิดจากความร้อน เป็นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากการนำแท่งโลหะหรือแผ่นโลหะต่างชนิดกัน 2 แท่ง โดยนำปลายด้านหนึ่งของโลหะทั้งสองต่อติดกันด้วยการเชื่อมหรือยึดด้วยหมุดปลายที่เหลืออีกด้านนำไปต่อกับมิเตอร์วัดแรงดัน เมื่อให้ความร้อนที่ปลายด้านต่อติดกันของโลหะทั้งสอง ส่งผลให้เกิดการแยกตัวของประจุไฟฟ้าเกิดศักย์ไฟฟ้าขึ้นที่ปลายด้านเปิดของโลหะ แสดงค่าออกมาที่มิเตอร์
4.ไฟฟ้าที่เกิดจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยสามารถสร้างเซลล์แสงอาทิตย์(Solar Cell) ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ปัจจุบันเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิดใช้พลังงานแสงอาทิตย์ได้ เช่น นาฬิกาข้อมือ เครื่องคิดเลข เป็นต้น แต่ค่าใช้จ่ายในการผลิตกระแสไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ค่อนข้างสูง
5. ไฟฟ้าที่เกิดจากพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าที่ได้มาจากพลังงานแม่เหล็กโดยวิธีการใช้ลวดตัวนำไฟฟ้าตัดผ่านสนามแม่เหล็ก หรือการนำสนามแม่เหล็กวิ่งตัดผ่านลวดตัวนำอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งสองวิธีนี้จะทำให้มีกระแสไฟฟ้าไหลในลวดตัวนำนั้น กระแสที่ผลิตได้มีทั้งกระแสตรงและกระแสสลับ
2.1 เชื้อเพลิงและพลังงาน
เรื่องที่ 1 เชื้อเพลิงและพลังงานที่ใชในการผลิตไฟฟา
พลังงานไฟฟาเปนพลังงานรูปหนึ่งที่มีความสําคัญและมีการใชงานกันมาอยางยาวนาน โดยสามารถผลิตไดจากเชื้อเพลิงตาง ๆ ไดแก เชื้อเพลิงฟอสซิลและพลังงานทดแทน ปจจุบันมีการใชพลังงานไฟฟาเพิ่มมากขึ้นทําใหตองมีการแสวงหาเชื้อเพลิงชนิดตางๆใหเพียงพอตอความตองการโดยแตละประเทศมีสัดสวนการใชเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟาแตกตางกันไปตามศักยภาพของประเทศนั้น ๆ อยางไรก็ตามการผลิตกระแสไฟฟายังตองคํานึงถึงผลกระทบตอ สิ่งแวดลอมจึงตองมีการจัดการและแนวทางปองกันที่เหมาะสมภายใตขอกําหนดและกฎหมาย แบงเปน 5 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 เชื้อเพลิงฟอสซิล
ตอนที่ 2 พลังงานทดแทน
ตอนที่ 3 พลังงานทดแทนในชุมชน
ตอนที่ 4 ตนทุนการผลิตพลังงานไฟฟาตอหนวยจากเชื้อเพลิงแตละประเภท
ตอนที่ 5 ขอดีและขอจํากัดของการผลิตไฟฟาจากเชื้อเพลิงแตละประเภท
ตอนที่ 1 เชื้อเพลิงฟอสซิล เชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil Fuel) หมายถึง เชื้อเพลิงที่เกิดจากซากพืช ซากสัตวที่ทับถม จมอยูใตพื้นพิภพเปนเวลานานหลายรอยลานปโดยอาศัยแรงอัดของเปลือกโลกและความรอนใตผิว โลกมีทั้งของแข็ง ของเหลวและกาซ เชน ถานหินน้ํามัน กาซธรรมชาติ เปนตน แหลงพลังงานนี้เปน แหลงพลังงานที่สําคัญในการผลิตไฟฟาในปจจุบันสําหรับประเทศไทยไดมีการนําเอาพลังงาน ฟอสซิลมาใชในการผลิตไฟฟาประมาณรอยละ 90 1. ถานหิน (Coal) ถานหิน เปนเชื้อเพลิงประเภทฟอสซิลที่อยูในสถานะของแข็ง เกิดจากการทับถมกัน ของซากพืชในยุคดึกดําบรรพ ถานหินมีปริมาณ
มากกวาเชื้อเพลิงฟอสซิลชนิดอื่น ๆ และมีแหลงกระจายอยูประมาณ 70 ประเทศทั่วโลก เชน อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย แอฟริกา เปนตน จากการ คาดการณปริมาณถานหินที่พิสูจนแลว ขอมูล ณ ป พ.ศ. 2557 จาก BP Statistical Review of World Energy คาดวา ถานหินในโลกจะมีเพียงพอตอการใชงานไปอีก 110 ป และถานหินใน ประเทศไทยมีเหลือใชอีก 69 ป ซึ่งถานหินที่นํามาเปนเชื้อเพลิงสําหรับการผลิตกระแสไฟฟา ไดแก ลิกไนต ซับบิทูมินัส บิทูมินัส ถานหินสวนใหญที่พบในประเทศไทยเปนลิกไนตที่มีคุณภาพต่ํา ปริมาณสํารองสวน ใหญที่นํามาใชเปนเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟาอยูที่เหมืองแมเมาะ จังหวัดลําปาง ในป พ.ศ. 2558 ประเทศไทยมีการผลิตไฟฟาดวยถานหินรอยละ 18.96 ซึ่งมาจากถานหิน ภายในประเทศและบางสวนนําเขาจากตางประเทศ โดยนําเขาจากอินโดนีเซียมากที่สุด กระบวนการผลิตไฟฟาจากถานหิน การผลิตไฟฟาดวยถานหิน เริ่มจากการขนสงถานหินจากลานกองถานหินไปยังยุงถาน จากนั้นถานหินจะถูกลําเลียงไปยังเครื่องบด เพื่อบดถานหินใหเปนผงละเอียดกอนที่จะถูกพน เขาไปเผายังหมอไอน้ํา เมื่อถานหินเกิดการเผาไหมก็จะถายเทความรอนใหแกน้ํา ทําใหน้ํารอนขึ้นจนเกิดไอน้ําจะมีความดันสูงสามารถขับใบพัดกังหันไอน้ําทําใหกังหันไอน้ําหมุนโดยแกนของกังหัน ไอน้ําเชื่อมตอกับเครื่องกําเนิดไฟฟาจึงทําใหเครื่องกําเนิดไฟฟาทํางาน สามารถผลิตกระแสไฟฟาออกมาได
2. น้ํามัน (Petroleum Oil)
น้ํามันเปนเชื้อเพลิงประเภทฟอสซิลที่มีสถานะเปนของเหลว เกิดจากซากสัตวและ ซากพืชทับถมเปนเวลาหลายรอยลานป พบมากในภูมิภาคตะวันออกกลาง สําหรับประเทศไทย มีแหลงน้ํามันดิบจากแหลงกลางอาวไทย เชน แหลงเบญจมาศ แหลงยูโนแคล แหลงจัสมิน เปนตน และแหลงบนบก ไดแก แหลงสิริกิติ์ อําเภอลานกระบือ จังหวัดกําแพงเพชร จากการ คาดการณปริมาณน้ํามันที่พิสูจนแลว ขอมูล ณ ป พ.ศ. 2557 จาก BP Statistical Review of World Energy คาดวาน้ํามันในโลกจะมีเพียงพอตอการใชงานไปอีก 52.5 ป และน้ํามันในประเทศ ไทยมีเหลือใชอีก 2.8 ป น้ํามันที่ใชในการผลิตไฟฟามี 2 ประเภท คือ น้ํามันเตาและน้ํามันดีเซลในป พ.ศ. 2558 การไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย (กฟผ.) ใชน้ํามันผลิตไฟฟาในสัดสวนเพียงรอยละ 1 เทานั้น เนื่องจากมีตนทุนการผลิตสูงสําหรับการใชน้ํามันมาผลิตไฟฟานั้นมักจะใชเปน เชื้อเพลิงสํารองในกรณีที่เชื้อเพลิงหลัก เชน กาซธรรมชาติ มีปญหาไมสามารถนํามาใชได เปนตน กระบวนการผลิตไฟฟาจากน้ํามัน 1) การผลิตไฟฟาจากน้ํามันเตาใชน้ํามันเตาเปนเชื้อเพลิงใหความรอนไปตมน้ํา เพื่อ ผลิตไอน้ําไปหมุนกังหันไอน้ําที่ตออยูกับเครื่องกําเนิดไฟฟา 2) การผลิตไฟฟาจากน้ํามันดีเซล มีหลักการทํางานเหมือนกับเครื่องยนตในรถยนต ทั่วไป ซึ่งจะอาศัยหลักการสันดาปของน้ํามันดีเซลที่ถูกฉีดเขาไปในกระบอกสูบของเครื่องยนตที่ถูก อัดอากาศจนมีอุณหภูมิสูง และเกิดระเบิดดันใหลูกสูบเคลื่อนที่ลงไปหมุนเพลาขอเหวี่ยงซึ่งตอกับ
30 เพลาของเครื่องยนต ทําใหเพลาของเครื่องยนตหมุน และทําใหเครื่องกําเนิดไฟฟาซึ่งตอกับเพลา ของเครื่องยนตหมุนตามไปดวยจึงเกิดการผลิตไฟฟาออกมา
3. กาซธรรมชาติ (Natural Gas)
กาซธรรมชาติ เปนเชื้อเพลิงประเภทฟอสซิลที่มีสถานะเปนกาซ ซึ่งเกิดจากการทับถม ของซากสัตวและซากพืชมานานนับลานป พบมากในภูมิภาคตะวันออกกลาง จากการคาดการณ ปริมาณกาซธรรมชาติที่พิสูจนแลว ขอมูล ณ ป พ.ศ. 2557 จาก BP Statistical Review of World Energy คาดวา กาซธรรมชาติในโลกจะมีเพียงพอตอการใชงานไปอีก 54.1 ป และกาซ ธรรมชาติในประเทศไทยมีเหลือใชอีก 5.7 ป กระบวนการผลิตไฟฟาจากกาซธรรมชาติ เริ่มตนดวยกระบวนการเผาไหมกาซธรรมชาติ ในหองสันดาปของกังหันกาซที่มี ความรอนสูงมาก เพื่อใหไดกาซรอนมาขับกังหัน ซึ่งจะไปหมุนเครื่องกําเนิดไฟฟา จากนั้นจะนํากาซ รอนสวนที่เหลือไปผลิตไอน้ําสําหรับใชขับเครื่องกําเนิดไฟฟาแบบกังหันไอน้ํา สําหรับไอน้ําสวนที่
31
เหลือจะมีแรงดันต่ําก็จะผานเขาสูกระบวนการลดอุณหภูมิ เพื่อใหไอน้ําควบแนนเปนน้ําและ นํากลับมาปอนเขาระบบผลิตใหมอยางตอเนื่อง
ตอนที่ 2 พลังงานทดแทน พลังงานทดแทน (Alternative Energy)
ตามความหมายของกระทรวงพลังงานคือ พลังงานที่นํามาใชแทนน้ํามันเชื้อเพลิงซึ่งเปนพลังงานหลักที่ใชกันอยูทั่วไปในปจจุบันพลังงาน ทดแทนที่สําคัญ เชน พลังงานน้ํา พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย พลังงานความรอนใตพิภพ พลังงานจากชีวมวล และพลังงานนิวเคลียร เปนตน ปจจุบันทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศไทย กําลังเผชิญกับปญหาดานพลังงานเชื้อเพลิง ฟอสซิล เชน น้ํามัน กาซธรรมชาติ เปนตน ทั้งในดานราคาที่สูงขึ้น และปริมาณที่ลดลงอยาง ตอเนื่อง นอกจากนี้ปญหาสภาวะโลกรอนซึ่งสวนหนึ่งมาจากการใชเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มากขึ้นอยาง ตอเนื่องตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นจึงจําเปนตองมีการกระตุนใหเกิดการคิดคนและ พัฒนาเทคโนโลยีที่ใชพลังงานชนิดอื่น ๆ ขึ้นมาทดแทนซึ่งพลังงานทดแทนเปนพลังงานชนิดหนึ่งที่ ไดรับความสนใจ และภาครัฐไดมีนโยบายสงเสริมใหมีการพัฒนาเทคโนโลยีดานพลังงานทดแทน อยางกวางขวางในประเทศ เนื่องจากเปนพลังงานที่ใชแลวไมทําลายสิ่งแวดลอม โดยพลังงานทดแทนที่สําคัญและใชกันอยูในปจจุบัน ไดแก ลม น้ํา แสงอาทิตย ชีวมวล ความรอนใตพิภพ และนิวเคลียร ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1. พลังงานลม การผลิตกระแสไฟฟาจากพลังงานลมจะใชกังหันลมเปนอุปกรณในการเปลี่ยน พลังงานลมเปนพลังงานไฟฟา โดยจะตอใบพัดของกังหันลมเขากับเครื่องกําเนิดไฟฟา เมื่อลมพัด มาปะทะจะทําใหใบพัดหมุน แรงจากการหมุนของใบพัดจะทําใหแกนหมุนที่เชื่อมอยูกับเครื่อง กําเนิดไฟฟาหมุน เกิดการเหนี่ยวนําและไดไฟฟาออกมา อยางไรก็ดีการผลิตไฟฟาดวยพลังงานลม ก็จะขึ้นอยูกับความเร็วลม สําหรับประเทศไทยมีศักยภาพพลังงานลมต่ําทําใหผลิตไฟฟาไดจํากัด ไมเต็มกําลังการผลิตติดตั้งพลังงานที่ไดรับจากกังหันลม สามารถแบงชวงการทํางานของกังหันลม ไดดังนี้
1) ความเร็วลมต่ําในชวง 1 - 3 เมตรตอวินาที กังหันลมจะยังไมทํางานจึงยัง ไมสามารถผลิตไฟฟาออกมาได
2) ความเร็วลมระหวาง 2.5 - 5 เมตรตอวินาที กังหันลมจะเริ่มทํางาน เรียกชวงนี้ วา “ชวงเริ่มความเร็วลม” (Cut in wind speed)
3) ความเร็วลมชวงประมาณ 12 - 15 เมตรตอวินาที เปนชวงที่เรียกวา “ชวง ความเร็วลม” (Rate wind speed) ซึ่งเปนชวงที่กังหันลมทํางานอยูบนพิกัดกําลังสูงสุด ในชวงที่ ความเร็วลมไตระดับไปสูชวงความเร็วลม เปนการทํางานของกังหันลมดวยประสิทธิภาพสูงสุด (Maximum rotor efficiency) 4) ชวงที่ความเร็วลมสูงกวา 25 เมตรตอวินาที กังหันลมจะหยุดทํางาน เนื่องจาก ความเร็วลมสูงเกินไป ซึ่งอาจทําใหเกิดความเสียหายตอกลไกของกังหันลมได เรียกวา “ชวงเลย ความเร็วลม” (Cut out wind speed) กังหันลมขนาดใหญในปจจุบันนั้นมีขนาดเสนผานศูนยกลางของใบพัดมากกวา 65 เมตร ในขณะที่กังหันลมขนาดที่เล็กลงมามีขนาดประมาณ 30 เมตร (ซึ่งสวนมากใชอยูใน ประเทศกําลังพัฒนา) สวนเสาของกังหันมีความสูงอยูระหวาง 25 - 80 เมตร ศักยภาพของพลังงานลมกับการผลิตพลังงานไฟฟา ศักยภาพของพลังงานลม ไดแก ความเร็วลม ความสม่ําเสมอของลม ความยาวนาน ของการเกิดลม ปจจัยตาง ๆ เหลานี้ ลวนมีผลตอการทํางานของกังหันลมเพื่อผลิตพลังงานไฟฟา ดังนั้นการติดตั้งกังหันลมเพื่อผลิตพลังงานไฟฟาในพื้นที่ตาง ๆ จึงตองพิจารณาถึงปจจัยตาง ๆ ดังที่ กลาวมา และตองออกแบบลักษณะของกังหันลมที่จะติดตั้ง ไดแก รูปแบบของใบพัด วัสดุที่ใชทํา ใบพัด ความสูงของเสาที่ติดตั้งกังหันลม ขนาดของเครื่องกําเนิดไฟฟา และระบบควบคุมใหมี ลักษณะที่สอดคลองกับศักยภาพของพลังงานลมในพื้นที่นั้น ๆ ปจจุบันมีการติดตั้งเครื่องวัดความเร็วลมในพื้นที่ตาง ๆ ของประเทศไทย เพื่อหา ความเร็วลมในแตละพื้นที่ ซึ่งแผนที่แสดงความเร็วลมมีประโยชนมากมาย เชน ใชพิจารณากําหนด
ตําแหนงสถานที่สําหรับติดตั้งกังหันลมเพื่อผลิตพลังงานไฟฟา ใชออกแบบกังหันลมใหมี ประสิทธิภาพการทํางานสูงสุด ใชประเมินพลังงานไฟฟาที่กังหันลมจะสามารถผลิตได และนํามาใช วิเคราะหและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานลมในดานตาง ๆ ใหมีความเหมาะสมกับศักยภาพของ พลังงานลม เปนตน
2. พลังงานน้ํา
การผลิตไฟฟาจากพลังงานน้ําโดยการปลอยน้ําจากเขื่อนใหไหลจากที่สูงลงสูที่ต่ํา เมื่อน้ําไหลลงมาปะทะกับกังหันน้ําก็จะทําใหกังหันหมุนแกนของเครื่องกําเนิดไฟฟาที่ถูกตออยูกับ กังหันน้ําดังกลาวก็จะหมุนตาม เกิดการเหนี่ยวนําและไดไฟฟาออกมา จากนั้นก็ปลอยน้ําใหไหลสู แหลงน้ําตามเดิม แตประเทศไทยสรางเขื่อนโดยมีวัตถุประสงคหลักคือการกักเก็บน้ําไวใชใน การเกษตร ดังนั้นการผลิตไฟฟาดวยพลังงานน้ําจากเขื่อนจึงเปนเพียงผลพลอยไดเทานั้น
3. พลังงานแสงอาทิตย
การผลิตไฟฟาจากพลังงานแสงอาทิตยใชเซลลแสงอาทิตย (Solar Cell) ซึ่งเปน สิ่งประดิษฐทางอิเล็กทรอนิกสชนิดหนึ่งทํามาจากสารกึ่งตัวนําพวกซิลิคอนสามารถเปลี่ยนพลังงาน แสงอาทิตยใหเปนพลังงานไฟฟาไดโดยตรง เซลลแสงอาทิตยแบงตามวัสดุที่ใชผลิตได 3 ชนิดหลักๆ คือ เซลลแสงอาทิตยแบบผลึกเดี่ยว เซลลแสงอาทิตยแบบผลึกรวม และเซลลแสงอาทิตยแบบ อะมอรฟส มีลักษณะดังภาพ
ซลลแสงอาทิตยแตละชนิดจะมีประสิทธิภาพของการแปรเปลี่ยนพลังงาน แสงอาทิตยเปนพลังงานไฟฟาตางกัน ดังนี้ 1) เซลลแสงอาทิตยแบบผลึกเดี่ยว มีประสิทธิภาพ รอยละ 10 – 16 2) เซลลแอาทิตยแบบผลึกรวม มีประสิทธิภาพ รอยละ 10 - 14.5 3) เซลลแสงอาทิตยแบบอะมอรฟส มีประสิทธิภาพ รอยละ 4 – 9 แมพลังงานแสงอาทิตยจะเปนพลังงานสะอาดแตก็มีขอจํากัดในการผลิตไฟฟา โดย สามารถผลิตไฟฟาไดแคชวงที่มีแสงแดดเทานั้น ประสิทธิภาพของการผลิตไฟฟาขึ้นอยูกับความเขมรังสีดวงอาทิตย ซึ่งจะมีคาเปลี่ยนแปลงไปตามเสนละติจูด ชวงเวลาของวัน ฤดูกาล สภาพ อากาศ
ภาพแผนที่ศักยภาพพลังงานแสงอาทิตยเฉลี่ยตลอดปของประเทศไทย
ความเขมแสงอาทิตยของประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงตามพื้นที่และฤดูกาลโดย ไดรับรังสีดวงอาทิตยคอนขางสูงระหวางเดือนเมษายน และพฤษภาคม เทานั้น บริเวณที่รับรังสีดวง อาทิตยสูงสุดตลอดทั้งปที่คอนขางสม่ําเสมออยูในบริเวณจังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย ศรีสะเกษ รอยเอ็ด ยโสธร อุบลราชธานี และอุดรธานี บางสวนในภาคกลางที่จังหวัดสุพรรณบุรี ชัยนาท พระนครศรีอยุธยา และลพบุรี สวนในบริเวณจังหวัดอื่น ๆ ความเขมรังสีดวงอาทิตยยังมีความไม สม่ําเสมอและมีปริมาณความเขมต่ํา ยังไมคุมคากับการลงทุนสรางโรงไฟฟาพลังงานแสงอาทิตย เพื่อหวังผลในเชิงพาณิชย ในการจัดตั้งโรงไฟฟาพลังงานแสงอาทิตยในประเทศไทย ควรคํานึงถึงสภาพ ภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศดังกลาวไปแลวขางตน เพราะโรงไฟฟพลังงานแสงอาทิตยนั้น ตองการพื้นที่มาก ในการสรางโรงไฟฟาขนาด 1 เมกะวัตต ตองใชพื้นที่มากถึง 15 -25 ไร ซึ่งหาก เลือกพื้นที่ที่ไมเหมาะสม เชน เลือกพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณของธรรมชาติ มีตนไมใหญหนาแนน อาจตองมีการโคนถางเพื่อปรับพื้นที่ใหโลง สิ่งนี้อาจเปนการทําลายทรัพยากรธรรมชาติ นอกจาก จะไมชวยเรื่องภาวะโลกรอนแลวอาจสรางปจจัยที่ทําใหเกิดสภาวะโลกรอนเพิ่มขึ้นดวย ตําแหนงที่ติดตั้งแผงเซลลแสงอาทิตยตองเปนตําแหนงที่สามารถรับแสงอาทิตยไดดี ตลอดทั้งวัน ตลอดทั้งป ตองไมมีสิ่งปลูกสรางหรือสิ่งอื่นใดมาบังแสงอาทิตยตลอดทั้งวัน และไมควร เปนสถานที่ที่มีฝุน หรือไอระเหยจากน้ํามันมากเกินไป เพื่อประสิทธิภาพในการแปรเปลี่ยน แสงอาทิตยเปนไฟฟา
4. พลังงานชีวมวล ชีวมวล (Biomass)
หมายถึง อินทรียสารที่ไดจากสิ่งมีชีวิต ที่ผานการยอยสลาย ตามธรรมชาติ โดยมีองคประกอบพื้นฐานเปนธาตุคารบอน และธาตุไฮโดรเจน ซึ่งธาตุดังกลาวไดมา จากกระบวนการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตเหลานั้น แลวสะสมไวถึงแมจะยอยสลายแลวก็ยังคงอยู ชีวมวลมีแหลงกําเนิดมาจากภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และภาคชุมชน สําหรับประเทศไทยซึ่งเปนประเทศเกษตรกรรม ทําใหมีผลผลิตและวัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตร ในอดีตชีวมวลสวนใหญจะถูกทิ้งซากใหเปนปุยอินทรียหรือเผาทําลายโดยเปลาประโยชน อีกทั้งยังเปนการสรางมลพิษใหกับสิ่งแวดลอม อันที่จริงแลวผลผลิตและวัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตร ดังกลาวมีคุณสมบัติเปนเชื้อเพลิงไดอยางดี ซึ่งใหความรอนในปริมาณสูง สามารถนํามาใชประโยชน ในการผลิตพลังงานทดแทนได หรือนํามาใชโดยผานกระบวนการแปรรูปใหเปนเชื้อเพลิงที่อยูใน สถานะตาง ๆ ไดแก ของแข็ง ของเหลว และกาซ เรียกวา “พลังงานชีวมวล” ชีวมวล สามารถนําไปใชเปนแหลงพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Source) ทั้งในรูปของเชื้อเพลิงที่ใหความรอนโดยตรง และเปลี่ยนรูปเปนพลังงานไฟฟา อีกทั้งยัง สามารถนํามาใชเปนวัตถุดิบ (Materials) สําหรับผลิตภัณฑอื่น ๆ ที่ไมใชพลังงานไดดวย เชน อาหาร ปุย เครื่องจักสาน เปนตน
ผลผลิตทางการเกษตรที่มีวัสดุเหลือทิ้งสามารถนํามาใชเปนแหลงพลังงานชีวมวลได ดังตัวอยางตอไปนี้ ชีวมวลที่ไดจากพืชชนดิตาง ๆ ชนิดของพืช ชีวมวล ขาว แกลบ ฟาง ขาวโพด ลําตน ยอด ใบ ซัง ออย ยอดใบ กาก สับปะรด ตอ ซัง มันสําปะหลัง ลําตน เหงา ถั่วเหลือง ลําตน เปลือก ใบ มะพราว กะลา เปลือก กาบ กาน ใบ ปาลมน้ํามัน กาน ใบ ใย กะลา ทะลาย ไม เศษไม ขี้เลื่อย ราก ชีวมวลในทองถิ่นหรือชุมชนแตละชุมชนอาจไมเหมือนกันขึ้นอยูกับพื้นที่ในแตละ ทองถิ่นวามีชีวมวลชนิดใดบางที่สามารถแปรรูปเปนพลังงานหรือนํามาใชประโยชนได เชน พื้นที่ที่มีการปลูกขาวมากจะมีแกลบที่ไดจากการสีขาวเปลือก สามารถนํามาใชเปนเชื้อเพลิง ใชผสมลงใน ดินเพื่อปรับสภาพดินกอนเพาะปลูก หรือในพื้นที่ที่มีการเลี้ยงสัตวมากทําใหมีมูลสัตว สามารถ นํามาใชผลิตกาซชีวภาพและทําเปนปุย เปนตน ปจจุบันในประเทศไทยมีการผลิตไฟฟาโดยใชชีวมวลเปนเชื้อเพลิงกันอยาง แพรหลายซึ่งมีหลักการทํางานจําแนกเปน 2 ประเภท ดังนี้ 1) โรงไฟฟาพลังความรอนชีวมวล การผลิตไฟฟาจากชีวมวลสวนใหญเลือกใชระบบการเผาไหมโดยตรง (DirectFired) โดยชีวมวลจะถูกสงไปยังหมอไอน้ํา (Boiler) หมอไอน้ําจะมีการเผาไหมทําใหน้ํารอนขึ้นจน เกิดไอน้ํา ตอจากนั้นไอน้ําถูกสงไปยังกังหันไอน้ํา เพื่อปนกังหันที่ตออยูกับเครื่องกําเนิดไฟฟา ทําให ไดกระแสไฟฟาออกมา
5. พลังงานความรอนใตพิภพ
พลังงานความรอนใตพิภพเปนพลังงานความรอนตามธรรมชาติที่ไดจากแหลงความ รอนที่ถูกกักเก็บอยูภายใตผิวโลก แหลงพลังงานความรอนใตพิภพจะตั้งอยูในบริเวณที่เรียกวา “จุดรอน” (Hot Spots) มักตั้งอยูในบริเวณที่เปลือกโลกมีการเคลื่อนที่เขตที่ภูเขาไฟยังคุกรุน และบริเวณที่มีชั้นของเปลือกโลกบาง ซึ่งทั้งหมดนี้ปรากฏใหเห็นในรูปของบอน้ําพุรอนไอน้ํารอน และบอโคลนเดือด
6. พลังงานนิวเคลียร
พลังงานนิวเคลียร คือ พลังงานที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายในนิวเคลียสของ อะตอมซึ่งมนุษยไดมีการนําพลังงานนิวเคลียรมาใชประโยชนในหลายดาน เชน การแพทย เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการผลิตไฟฟา เปนตน การผลิตไฟฟาจากพลังงานนิวเคลียรเหมือนกับโรงไฟฟาพลังความรอนทั่วไป แตกตางกันที่แหลงกําเนิดความรอน โรงไฟฟาพลังความรอนจะใชการเผาไหมของเชื้อเพลิงฟอสซิล เชน ถานหิน กาซธรรมชาติ และน้ํามัน เปนตน สวนโรงไฟฟาพลังงานนิวเคลียรใชปฏิกิริยาแตกตัว นิวเคลียสของอะตอมของเชื้อเพลิงนิวเคลียรที่เรียกวา “ปฏิกิริยานิวเคลียรฟชชัน” (Nuclear Fission) ผลิตความรอนในถังปฏิกรณนิวเคลียรธาตุที่สามารถนํามาใชเปนเชื้อเพลิงในโรงไฟฟา พลังงานนิวเคลียร คือ ยูเรเนียม – 235 ซึ่งเปนธาตุตัวหนึ่งที่มีอยูในธรรมชาติโดยนิวเคลียสของ เชื้อเพลิงนิวเคลียรที่จะแตกออกไดเปนธาตุใหม 2 ธาตุ พรอมทั้งใหพลังงานหรือความรอนจํานวน มหาศาลออกมา ความรอนที่เกิดขึ้นนี้สามารถนํามาใหความรอนกับน้ําจนเดือดกลายเปนไอน้ําไป หมุนกังหันไอน้ําที่ตอกับเครื่องกําเนิดไฟฟาก็จะสามารถผลิตกระแสไฟฟาได
รูปโรงงานพลังงานนิวเคลียร
ตอนที่ 3 พลงังานทดแทนในชุมชน
วิกฤตการณดานพลังงานไดกอตัว และมีแนวโนมทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากการ ขาดแคลนแหลงพลังงาน และผลกระทบของการใชพลังงาน ที่มีตอสภาวะสิ่งแวดลอม ดังนั้น ทุกภาคสวนจึงตองตระหนักถึงวิกฤตการณเหลานี้ และพยายามคิดคนเพื่อหาทางออก หนทางหนึ่ง ในการแกไขวิกฤตการณดังกลาว คือ การใชพลังงานทดแทน เนื่องจากแตละทองถิ่นมีโครงสรางพื้นฐาน สภาพแวดลอมและวัตถุดิบที่จะนํามาแปลง สภาพเปนพลังงานเพื่อใชงานในทองถิ่นที่แตกตางกันออกไป ดังนั้นแตละทองถิ่น หรืออาจจะ เริ่มตนที่ครัวเรือน จะตองพิจารณาวามีอะไรบางที่มีศักยภาพ เพียงพอที่จะนํามาผลิตเปนพลังงาน เพื่อใชในครัวเรือน หรือทองถิ่นของตนเองไดบาง อาทิเชน เชื้อเพลิงชีวมวล (Biomass) ซึ่งเปนวัสดุ หรือสารอินทรียที่สามารถเปลี่ยนแปลงเปนพลังงานได ชีวมวลนับรวมถึงวัสดุเหลือทิ้งทาง การเกษตร เศษไม ปลายไมจากอุตสาหกรรมไม มูลสัตว ของเสียจากโรงงานแปรรูปทางการเกษตร และของเสียจากชุมชน หรือกากจากกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมการเกษตร เชน แกลบ ชานออย เศษไม กากปาลม กากมันสําปะหลัง ซังขาวโพด กาบและกะลามะพราว และสาเหลา เปนตน เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) เชื้อเพลิงที่ไดจากชีวมวล (Biomass) เปนพลังงานที่ไดจาก พืชและสัตวโดยมีพื้นฐานจากการสังเคราะหแสงแลวเก็บรวบรวมพลังงานจากดวงอาทิตยเอาไว ในรูปของพลังงานเคมี หรือองคประกอบของสิ่งมีชีวิตหรือสารอินทรียตาง ๆ รวมทั้งการผลิตจากการเกษตรและปาไม เชน ไมฟน แกลบ กากออย วัสดุเหลือใชทางการเกษตรอื่น ๆ พลังงาน แสงอาทิตย พลังงานน้ําตลอดจนพลังงานลม พลังงานความรอนใตพิภพ เปนตน เมื่อครัวเรือน หรือทองถิ่นทราบศักยภาพวาตนเองมีความพรอมที่จะผลิตพลังงาน จากแหลงใดมากที่สุดแลว ก็สามารถพิจารณาดําเนินการได โดยอาจเริ่มจากการไปศึกษาดูงาน หรือขอคําแนะนําจากหนวยงานที่เกี่ยวของ เชน จากครัวเรือน หรือทองถิ่นที่ประสบความสําเร็จ ในการผลิตพลังงานขึ้นใชเอง หรือจากหนวยงานราชการ รวมถึงสถาบันการศึกษาตาง ๆ ซึ่งจะ ทําใหไดแนวทางในการพัฒนาพลังงานทองถิ่นขึ้นใชเองอยางเหมาะสมและมีโอกาสประสบ ความสําเร็จสูง ชุมชนแตละชุมชนจะมีศักยภาพของแตละชุมชนแตกตางกันไปตามศักยภาพของแตละ พื้นที่ เชน พื้นที่ที่มีการเลี้ยงสัตวจํานวนมากก็จะมีศักยภาพในการนํามูลสัตวมาทําไบโอกาซ หรือพื้นที่ที่มีการเพาะปลูกออย หรือมันสําปะหลัง ก็จะมีศักยภาพในการนํามาทําชีวมวล เปนตน ตัวอยาง องคกรปกครองสวนทองถิ่นที่ไดใหความสําคัญกับการผลิตพลังงานทดแทนใช อยางเปนรูปธรรม
1. พลังงานทดแทนจากกระแสลม
องคกรปกครองรูปแบบพิเศษอยาง "เมืองพัทยา" อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ก็มี ความตื่นตัวในการคิดหาพลังงานทดแทน คือ กังหันลมมาใช เพื่อลดการพึ่งพาน้ํามันเชนกัน โครงการนี้เกิดขึ้นเนื่องจากบนเกาะลานมีประชากรอาศัยอยู 489 ครัวเรือน หรือ ประมาณ 3,000 คน ไมรวมประชากรแฝงอีกกวา 2,000 คน และยังมีนักทองเที่ยวทั้งไทยและ ตางชาติที่หลั่งไหลเขามาพักผอนอยูบนเกาะอีกประมาณ 60,000 คนตอเดือน การผลิตไฟฟาบน เกาะยังตองพึ่งพาเครื่องปนไฟของการไฟฟาสวนภูมิภาค (กฟภ.) ที่ตองใชน้ํามันดีเซลเปนตนทุน หลักที่มีราคาสูงขึ้นทุกวันนอกจากจะมีตนทุนการผลิตไฟสูงขึ้นเรื่อย ๆ เครื่องปนไฟแบบเดิมยังเกิด การชํารุดอยูบอยครั้งทําใหเครื่องใชไฟฟาตามบานและสถานประกอบการบนเกาะไดรับความ เสียหายจากเหตุกระแสไฟฟาตก และบางวันกระแสไฟฟาที่ผลิตไดก็ไมเพียงพอตอความตองการ ดวย เมืองพัทยา จึงมีแนวคิดหาพลังงานรูปแบบใหมมาทดแทนน้ํามัน โดยคํานึงถึงปญหา สิ่งแวดลอมเปนสําคัญ ทั้งยังนอมนําแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว ในดานการ ใชพลังงานทดแทน และการพึ่งพาตัวเองอยางยั่งยืนมาใช โดยการคัดเลือกพื้นที่เกาะลานที่มีความ เหมาะสมทางสภาพภูมิประเทศ ทั้งกระแสลมและพลังงานแสงอาทิตย ซึ่งสามารถผลิต กระแสไฟฟาไดทั้งป และยังเปนการชวยสงเสริมการทองเที่ยว และเปนแหลงเรียนรูพลังงาน ทดแทนอีกทางหนึ่งดวย บริเวณหาดแสมหางจากจุดเนินนมสาวประมาณ 20 เมตร คือ ทําเลที่ถูกเลือกใหเปน สถานที่ติดตั้งกังหันลม โดยแบงการดําเนินงานออกเปน 3 ระยะ ระยะละ 15 ตน รวมทั้งสิ้นมี กังหันลม 45 ตน จากการตรวจวัดความเร็วลมที่เกาะลานพบวามีความเร็วลมเฉลี่ยที่ประมาณ 4 - 5 กิโลเมตรตอวินาที ซึ่งจะทําใหระบบกังหันลมผลิตกระแสไฟฟาไดที่ 25 - 30 กิโลวัตต และ หากมีลมเฉลี่ยตอเนื่องประมาณ 10 ชั่วโมง จะทําใหระบบสามารถผลิตกระแสไฟฟาไดประมาณ วันละ 200 หนวย และลดการใชน้ํามันดีเซลเพื่อผลิตกระแสไฟฟาไดถึงวันละประมาณ 200 ลิตร หรือประมาณรอยละ 20 ของปริมาณการใชน้ํามันดีเซล ขณะที่ตนทุนการผลิตไฟฟาจากกังหันลม อยูที่หนวยละ 6 บาท ซึ่งถูกกวาการใชน้ํามันดีเซลเปนเชื้อเพลิงถึง 3 บาท การติดตั้งกังหันลม พรอมทั้งระบบควบคุม จนเริ่มตนเดินเครื่องผลิตกระแสไฟฟา สําเร็จตั้งแตเดือนพฤศจิกายน ป พ.ศ. 2550 โดยพลังงานที่ไดจากการหมุนของกังหันลม จะถูกเก็บ รวบรวมที่หองสํารองพลังงาน ซึ่งทําหนาที่คลายแบตเตอรี่กอนใหญที่ควบคุมการสั่งการไดทั้ง
2 ระบบ คือ ระบบสั่งการโดยมนุษย และระบบคอมพิวเตอร ในระยะแรกกระแสไฟฟาที่ผลิตได ถูกจายเพื่อใชงานโดยตรงบริเวณทาหนาบาน บริเวณหาดแสม และกระแสไฟฟา สาธารณะตาง ๆ บนเกาะ แตในปจจุบันกระแสไฟฟาถูกจายรวมเขาสูระบบของการไฟฟาสวนภูมิภาค กอนที่จะกระจายตามสายสงเพื่อใชงานในชุมชนตอไป
2. พลังงานทดแทนจากพลงัน้ํา
โรงไฟฟาพลังน้ํา ชุมชนบานคลองเรือ หมู 9 ตําบลปากทรง อําเภอพะโตะ จังหวัด ชุมพร เปนแหลงตนน้ําอยูในพื้นที่ลุมน้ําหลังสวนตอนบนในเขตรักษาพันธุสัตวปาควนแมยายหมอน สภาพพื้นที่เปนปาดิบชื้นบนภูเขาสลับซับซอน มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มั่งคั่งดวย ทรัพยากรธรรมชาติ คลองเรือเปนชุมชนขนาดเล็ก มีประชากรอาศัยอยู 81 ครัวเรือน รวมทั้งสิ้น 183 คน ภายในหมูบานไมมีกระแสไฟฟาในป พ.ศ. 2537 หนวยอนุรักษและจัดการตนน้ําพะโตะ กรมอุทยานแหงชาติสัตวปาและพันธุพืช ไดจัดทําโครงการ “คนอยู - ปายัง” ตามแนวพระราชดําริ ในสมเด็จพระนางเจาสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สรางการมีสวนรวมของชุมชน เพื่อสรางความ มั่นคงดานเศรษฐกิจแกชุมชนภายใตกรอบการอนุรักษสิ่งแวดลอม มีการจัดการการใชประโยชน และปกปองรักษาทรัพยากร ผสมผสานภูมิปญญาชาวบานและเทคโนโลยีอยางเหมาะสม สงเสริม ความรูใหชุมชนเขมแข็งตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทําใหชุมชนพัฒนาทางความคิด และกลไกในการดูแลตนเองมากขึ้นสามารถบริหารจัดการทรัพยากรดิน น้ํา ปาไม ใหดํารงชีวิตอยู รวมกับปาไมอยางสมดุล อยางไรก็ตามชุมชนบานคลองเรือ เปนหมูบานที่ไมมีไฟฟาใชและเปน ความฝนอันสูงสุดของชุมชนที่ตองการใหลูกหลานในหมูบานไดเห็นขาวสารภายนอก ซึ่งถือเปน “แสงสวางแหงปญญา” และชาวบานคลองเรือ ยังคงแสวงหาแหลงความรูและภูมิปญญาจากการ เดินทางไปดูงานในที่ตาง ๆ อยางตอเนื่อง ตอมาในป พ.ศ. 2551 ไดมีโครงการการจดัการความรูดานพลังงานไฟฟาในพื้นที่ภาคใต โดยความรวมมือระหวางนักวิชาการจากคณะสังคมสงเคราะหศาสตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร และคณะวิศวกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร มหาวิทยาลัยชีวิตเมืองนครศรีธรรมราช ภายใตการสนับสนุนจาก การไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งไดรวมทํางานกับชุมชน บานคลองเรือ โดยใชกระบวนการทํางานแบบมีสวนรวมเริ่มตนจากการศึกษาศักยภาพของชุมชน ในดานสังคม และทรัพยากรธรรมชาติ พรอม ๆ กับการเปดโลกทัศน นําผูนําชุมชนศึกษาดูงานดาน การผลิตไฟฟา จากแหลงพลังงานตาง ๆ ทั้งจากเชื้อเพลิง ถานหิน น้ําตก และชีวมวลในพื้นที่ ภาคเหนือและพบวาชุมชนบานคลองเรือ มีความพรอมในดานตาง ๆ โดยเฉพาะศักยภาพทาง ทรัพยากร (น้ํา) และความเขมแข็งของชุมชน ดังนั้นทีมงานดานวิศวกรรมศาสตร จึงเริ่มศึกษา รายละเอียดดานเทคนิค ศึกษาความเปนไปไดในการกอสรางโรงไฟฟาพลังน้ํา บริเวณน้ําตกเหวตาจันทร หลังจากการสํารวจ เก็บขอมูลสภาพพื้นที่ ชุมชนจึงไดเลือกโรงไฟฟาที่มีกําลังการผลิต 100 กิโลวัตต ที่ไมสงผลกระทบตอสภาพทางธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ตลอดจนวิถีการดํารงชีวิตของ ชุมชนที่มีมาแตเดิม ในระหวางการดําเนินโครงการชุมชนมีสวนรวมในทุกขั้นตอนมีการเตรียมชาง ชุมชนเขาอบรมเพิ่มพูนความรู เรื่องการเดินระบบผลิตไฟฟา การดูแลรักษาเครื่องจักรอุปกรณ ตลอดจนรวมกันวางแผนการกอสราง การระดมทุน การประสานความรวมมือกับภาคีตาง ๆ จนเกิดองคกร / กลไกใหมขึ้นมา ทั้งในระดับจังหวัดและในระดับชุมชน การไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย (กฟผ.) ไดเล็งเห็นถึงศักยภาพทางทรัพยากร โดยการนําทรัพยากรมาใชใหเกิดประโยชนสูงสุดและการสรางความเขมแข็งของชุมชนเพื่อใหเกิด การพัฒนาพลังงานอยางยั่งยืน จึงจัดสงเจาหนาที่ศึกษารายละเอียดความเปนไปไดของการพัฒนา โรงไฟฟาชุมชนบานคลองเรือ และใหการสนับสนุน ดังนี้
1) เครื่องกําเนิดไฟฟาพรอมอุปกรณประกอบ ซึ่งเปนผลงานการวิจัยเครื่องกําเนิด ไฟฟาขนาดเล็กของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลาธนบุรี จากทุนการวิจัยของ กฟผ.
2) งบประมาณสําหรับการจัดหาระบบสงไฟฟา จากโรงไฟฟาไปยังหมูบาน จํานวน 9,000,000 บาท (เกาลานบาท)
3) สนับสนุนบุคลากรผูเชี่ยวชาญเครื่องจักรอุปกรณและใหคําแนะนํารวมกับชุมชน ระหวางการกอสรางทุกขั้นตอน
เรื่องที่ 2 โรงไฟฟากับการจัดการดานสิ่งแวดลอม
การกอสรางโรงไฟฟาแตละแหงมีการใชทรัพยากรธรรมชาติและอาจกอใหเกิดผลกระทบ ตอสิ่งแวดลอม
ดวยเหตุนี้ในการกอสรางโรงไฟฟาแตละแหงจึงใหความสําคัญเกี่ยวกับการใช ทรัพยากรธรรมชาติ การปองกันแกไขและลดผลกระทบตอสิ่งแวดลอมและสังคม เพื่อสรางความ สมดุลระหวางโรงไฟฟากับสิ่งแวดลอมและชุมชนใหดีที่สุด เพื่อใหสามารถตอบสนองความตองการ ของภาคเศรษฐกิจและสังคมไดอยางยั่งยืน โดยเนนใหมีการดําเนินการจัดการคุณภาพสิ่งแวดลอม ใหมีประสิทธิภาพเพื่อใหเกิดผลกระทบนอยที่สุดแบงเปน
รูปโรงไฟฟ้าแม่เมาะ
ตอนที่ 1 ผลกระทบดานสิ่งแวดลอมและการจัดการ
การเดินเครื่องโรงไฟฟาเพื่อผลิตกระแสไฟฟา อาจสงผลกระทบตอสิ่งแวดลอมในดานตาง ๆ เชน ผลกระทบทางอากาศเกิดจากกาซพิษ ซึ่งเกิดจากการเผาไหมเชื้อเพลิง ผลกระทบทางเสียงเกิด จากเสียงของการเดินเครื่องจักร ผลกระทบทางน้ําเกิดจากอุณหภูมิและสารเคมี เปนตน ดังนั้น โรงไฟฟาจึงตองมีระบบการจัดการเพื่อใหอยูในเกณฑมาตรฐานหรือเปนไปตามมาตรฐานที่ กฎหมายกําหนด และไมกอใหเกิดผลกระทบตอสิ่งแวดลอมและสังคม
1. ดานอากาศ ผลกระทบดานอากาศ ถือเปนผลกระทบที่สําคัญที่สุดที่โรงไฟฟาตองคํานึงถึง โดย ระดับของผลกระทบขึ้นอยูกับชนิดของเชื้อเพลิงที่ใชในโรงงานไฟฟา ถาเปนโรงไฟฟาพลังน้ําหรือ พลังงานทดแทน เชน พลังงานแสงอาทิตย พลังงานลม จะไมกอใหเกิดมลพิษ ถาเปนโรงไฟฟาที่มี การเผาไหมของเชื้อเพลิง จะกอใหเกิดมลพิษทางอากาศที่สําคัญ ไดแก ซัลเฟอรไดออกไซด ไนโตรเจนออกไซด กาซโอโซนในระดับพื้นดิน คารบอนมอนอกไซด คารบอนไดออกไซด และฝุน ละออง การจัดการสิ่งแวดลอมดานอากาศ เปนการจัดการดานคุณภาพอากาศของโรงไฟฟา เพื่อลดกาซที่เปนพิษตอสุขภาพอนามัยและชุมชน โดยมีวิธีการดังนี้ 1) การลดกาซซัลเฟอรไดออกไซดทําโดยติดตั้งเครื่องกําจัดกาซซัลเฟอรได ออกไซด (Flue Gas Desulfurization : FGD) ซึ่งวิธีการนี้จะสามารถลดกาซซัลเฟอรไดออกไซด ไดรอยละ 80 – 90 2) การลดกาซไนโตรเจนออกไซดกระบวนการที่ใชกันแพรหลายและมี ประสิทธิภาพสูงคือ Selective Catalytic Reduction (SCR) และเลือกใชเตาเผาที่สามารถลดการ เกิดไนโตรเจนออกไซด (Low Nitrogen Oxide Burner) 3) การลดกาซคารบอนมอนอกไซดทําไดโดยการเช็คอุปกรณเครื่องเผาไหมเปน ประจํา และควบคุมการเผาไหมใหมีปริมาณออกซิเจนที่เหมาะสมเพื่อใหเกิดการเผาไหมที่สมบูรณ 4) การลดกาซคารบอนไดออกไซด โดยการรวบรวมและกักเก็บกาซ คารบอนไดออกไซดไวใตดินหรือน้ํา เชน ในแหลงน้ํามันหรือกาซธรรมชาติที่สูบออกมาหมดแลว หรืออาจนํากาซคารบอนไดออกไซดไปใชในกระบวนการอุตสาหกรรม 5) การลดฝุนละอองโดยการใชอุปกรณกําจัดฝุนละออง ไดแก เครื่องดักฝุนดวยไฟฟา สถิต (Electrostatic Precipitator) เปนการกําจัดฝุนละอองโดยใชหลักการไฟฟาสถิต ซึ่งระบบนี้ ถือวามีประสิทธิภาพสูงมากในการดักจับฝุนเครื่องแยกฝุนแบบลมหมุน (Cyclone Separator) เปนการกําจัดฝุนละอองโดยใชหลักของแรงเหวี่ยง และเครื่องกรองฝุนแบบถุงกรอง (Bag Filter) เปนอุปกรณที่มีถุงกรองเปนตัวกรองแยกฝุนละอองออกจากกาซที่เกิดจากการเผาไหมถานหิน นอกจากนี้ในดานคุณภาพอากาศ โรงไฟฟาควรมีระบบตรวจวัดปริมาณสารเจือปน จากปลองโรงไฟฟาแบบอัตโนมัติอยางตอเนื่อง (Continuous Emission Monitoring Systems: CEMs) เพื่อตรวจติดตามและเฝาระวังสิ่งผิดปกติตาง ๆ เชน ปริมาณของมลพิษเกินมาตรฐานจะได หาสาเหตุและหาทางแกไข เพื่อใหคาตาง ๆ กลับมาปกติเหมือนเดิม ควรมีการจัดเก็บขอมูลทุกวัน และติดตั้งเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศทั่วไปแบบตอเนื่อง (Ambient Air Quality Monitoring Systems: AAQMs) เพื่อวัดคุณภาพอากาศในบริเวณพื้นที่ชุมชนรอบโรงไฟฟาโดยทํา การเก็บขอมูลอยางตอเนื่อง ทั้งนี้ตองควบคุมคุณภาพอากาศที่ปลอยออกจากปลองโรงไฟฟาใหอยู ในเกณฑมาตรฐานและเปนไปตามกฎหมายที่เกี่ยวของ
2. ดานน้ํา ผลกระทบดานน้ํา น้ําที่ใชในกระบวนการผลิตไฟฟาจะมีการเติมสารเคมีบางอยาง เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติของน้ําใหเหมาะสมสําหรับนํามาใชกับอุปกรณตาง ๆ ในโรงไฟฟารวมไปถึง น้ําหลอเย็นที่ใชสําหรับระบายความรอนใหกับระบบตาง ๆ ภายในโรงไฟฟาก็จะมีอุณหภูมิสูงขึ้น กวาแหลงน้ําในธรรมชาติ ซึ่งหากน้ําเหลานี้ถูกปลอยออกจากโรงไฟฟาลงสูแหลงน้ําธรรมชาติ เชน แมน้ํา ลําคลอง เปนตน โดยไมผานกระบวนการจัดการบําบัดฟนฟูน้ําที่ดีอาจสงผลกระทบตอพืช และสัตวน้ําที่อาศัยอยูรอบ ๆ ได การจัดการสิ่งแวดลอมดานน้ํา โรงไฟฟาตองมีมาตรการจัดการน้ําเสียที่มาจาก กระบวนการผลิตไฟฟา และจากอาคารสํานักงานตามลักษณะหรือประเภทของน้ําเสีย โดยคุณภาพ น้ําทิ้งตองมีการควบคุมใหครอบคลุมทั้งเรื่องของเสียและอุณหภูมิ ดังนี้ 1) การควบคุมอุณหภูมิของน้ํากอนที่จะปลอยสูแหลงน้ําสาธารณะ โดยน้ําจากทอหลอเย็น เมื่อน้ําทิ้งมีความขุนในระดับหนึ่งจะถูกระบายออกไปสูบอพักน้ําที่ 1 เพื่อใหตกตะกอน และลดอุณหภูมิลงเหลือประมาณ 28 - 30 องศาเซลเซียสทิ้งไวเปนเวลาอยางนอย 24 ชั่วโมง จากนั้นจึงระบายออกสูบอพักที่ 2 เพื่อปรับสภาพน้ําใหมีอุณหภูมิใกลเคียงกับธรรมชาติ ซึ่งกรม ชลประทานไดกําหนดมาตรฐานไวที่ระดับ 33 องศาเซลเซียส กอนปลอยออกสูคลองระบายน้ํา ธรรมชาติ 2) การจัดการสารเคมีตาง ๆ ที่อยูภายในน้ํากอนปลอยสูสิ่งแวดลอม ทําโดยการกักน้ํา ไวในบอปรับสภาพน้ําเพื่อบําบัดใหมีสภาพเปนกลางและมีการตกตะกอน หรือเติมคลอรีนเพื่อฆา เชื้อโรค นอกจากนี้ในโรงไฟฟาควรมีระบบเฝาระวังคุณภาพน้ํา ไดแก การตรวจวัดคุณภาพน้ํา ที่ระบายออกจากโรงไฟฟาอยางสม่ําเสมอ เพื่อใหมั่นใจวาคุณภาพน้ําที่จะปลอยออกสูธรรมชาตินั้น มีคุณภาพอยูในเกณฑมาตรฐานและเปนไปตามกฎหมายที่เกี่ยวของ
3.ดานเสียง ผลกระทบดานเสียง เกิดจากกิจกรรมของโรงไฟฟาที่สําคัญจะมาจากหมอไอน้ํา เครื่องกําเนิดไฟฟากังหันกาซ และพาหนะที่เขามาในพื้นที่โรงไฟฟา การจัดการสิ่งแวดลอมเสียง เกิดจากกิจกรรมของโรงไฟฟาที่สําคัญจะมาจากหมอไอ น้ํา เครื่องกําเนิดไฟฟากังหันกาซ และพาหนะที่เขามาในพื้นที่โรงไฟฟา ดวยเหตุนี้โรงไฟฟาควร กําหนดมาตรการควบคุมระดับเสียงไว ดังนี้ 1) กิจกรรมที่กอใหเกิดเสียงรบกวนชุมชนในเวลากลางคืน ตองมีระดับเสียงไมเกิน 85 เดซิเบล ในระยะ 1 เมตรจากจุดกําเนิดเสียง ตามมาตรฐานขอกําหนดความดังของเสียงจากโรงงาน อุตสาหกรรมเพื่อไมใหเปนที่รบกวนตอผูอยูอาศัยโดยรอบโรงไฟฟา 2) ติดตั้งอุปกรณควบคุมเสียงภายในโรงไฟฟาชวงเดินเครื่องผลิตไฟฟาและติดตั้ง อุปกรณดูดซับเสียงแบบเคลื่อนที่ขณะทําความสะอาดทอที่เครื่องกังหันไอน้ํา เพื่อควบคุมความดัง ของเสียงใหอยูในมาตรฐานไมเกิน 85 เดซิเบล นอกจากนี้ในโรงไฟฟาควรทําการตรวจวัดเสียงอยางสม่ําเสมอ โดยกําหนดจุดตรวจวัด เสียงทั้งภายในโรงไฟฟา และชุมชนรอบโรงไฟฟาไว 3 จุด โดยตรวจวัดตามแผนที่กําหนดไว เชน ตรวจครั้งละ 3 วัน ติดตอกันทุก 3 เดือน และทําการกอสรางแนวปองกันเสียง (Noise Barrier) โดยการปลูกตนไมรอบพื้นที่โรงไฟฟา
ตอนที่ 2 ขอกําหนดและกฎหมายที่เกี่ยวของกบัโรงไฟฟาดานสิ่งแวดลอม พระราชบัญญัติสงเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดลอมแหงชาติ พ.ศ. 2535 กําหนดให จัดทํารายงานการวิเคราะหผลกระทบสิ่งแวดลอม สําหรับโครงการ หรือกิจการแตละประเภทและ แตละขนาดขึ้น ตามหลักเกณฑ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางการจัดทํารายงานการวิเคราะห ผลกระทบสิ่งแวดลอมที่กําหนดโดยสํานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดลอม โครงการกอสรางโรงไฟฟา ที่มีขนาดตั้งแต 10 เมกะวัตตขึ้นไป จะตองจัดทํารายงานการ วิเคราะหผลกระทบสิ่งแวดลอม (EIA) และ การวิเคราะหผลกระทบสิ่งแวดลอม สังคม และสุขภาพ (EHIA) ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม เรื่อง กําหนดประเภทและขนาด ของโครงการหรือกิจการ โดยตองจัดทํารายงานการวิเคราะหผลกระทบสิ่งแวดลอม ตามหลักเกณฑ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางการจัดทํารายงานการวิเคราะหผลกระทบ สิ่งแวดลอม
1. การวิเคราะหผลกระทบสิ่งแวดลอม (Environmental Impact Assessment : EIA) EIA (Environmental Impact Assessment) เปนวิธีการอยางหนึ่งที่ใชเพื่อจําแนก และคาดคะเนผลกระทบที่คาดวาจะเกิดขึ้นจากโครงการหรือกิจกรรม ตลอดจนเสนอแนะมาตรการ ในการแกไขผลกระทบ (Mitigation Measure) และแผนการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดลอม (Monitoring) ทั้งในระหวางการกอสรางและดําเนินโครงการในการจัดทํารายงานสําหรับโครงการ หรือกิจการทุกประเภทที่ตองจัดทํารายงานการวิเคราะหผลกระทบสิ่งแวดลอม (EIA) จะตองเสนอ รายละเอียดของขอมูลเฉพาะที่จะเปนประโยชนตอการวิเคราะหผลกระทบจากแตละประเภท โครงการดวย องคประกอบของ EIA การจัดทํา EIA ประกอบดวย การศึกษาครอบคลุมระบบสิ่งแวดลอม 4 ดาน คือ 1) ทรัพยากรกายภาพ เปนการศึกษาถึงผลกระทบ เชน ดิน น้ํา อากาศ เสียง เปนตน วาจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอยางไร 2) ทรัพยากรชีวภาพ การศึกษาความเปลี่ยนแปลงในดานตาง ๆ ที่มีตอระบบนิเวศน เชน ปาไม สัตวปา สัตวน้ํา ปะการัง เปนตน 3) คุณคาการใชประโยชนของมนุษย เปนการศึกษาถึงการใชประโยชนจาก ทรัพยากรทั้งทางกายภาพ และชีวภาพของมนุษย เชน การใชประโยชนที่ดิน เปนตน 4) คุณคาตอคุณภาพชีวิต ซึ่งจะเปนการศึกษาถึงผลกระทบที่จะเกิดตอมนุษย ชุมชน ระบบเศรษฐกิจ การประกอบอาชีพ วัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ คานิยม รวมถึง ทัศนียภาพ คุณคา ความสวยงาม หลักการและวิธีการ EIA 1) การประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอม กอนตัดสินใจพัฒนาโครงการ 2) การประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอม เปนการศึกษาเฉพาะกรณี เพื่อใชสําหรับ การตัดสินใจพัฒนาโครงการใดโครงการหนึ่ง 3) การประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอม เปนการศึกษาปญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ของโครงการพัฒนา 4) การประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอม เปนการศึกษาปญหาหลาย ๆ แงมุม เพื่อ วิเคราะห หาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น 5) การประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอม ตองอาศัยหลักการปองกันสิ่งแวดลอม 2 ประการ คือ การวางแผนการใชที่ดิน และการควบคุมมลพิษ
ดังนั้น ในกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดลอม นอกจากจะแสดงใหเห็น ผลกระทบอันเกิดจากการดําเนินโครงการแลว ยังเนนใหมีการปองกันดานสิ่งแวดลอมเขาไปทุก ขั้นตอนของการวางแผนและออกแบบโครงการ ดวยหลักการก็คือ ใหมีการปองกันไวกอน นั่นคือ ใหมีการพิจารณาทางเลือกของโครงการเพื่อที่จะสามารถเปรียบเทียบ พิจารณาทางเลือกที่มี ผลกระทบทางลบนอยที่สุด และใหประโยชนหรือผลกระทบในทางบวกมากที่สุด
4.1 กลยุทธ์การประหยัดพลังงานไฟฟ้า 3 อ.
เรื่องที่ 1 กลยุทธ์การประหยัดพลังงานไฟฟ้า 3 อ.
การประหยัดพลังงาน คือ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และรู้คุณค่า
การประหยัดพลังงานนอกจากช่วยลดปริมาณการใช้พลังงาน ยังเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายของ
ครัวเรือนและประเทศชาติแล้ว ยังช่วยลดปัญหาผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมได้ด้วย กลยุทธ์หนึ่งของ
ประเทศไทย ที่ประสบความสำเร็จด้านการประหยัดการใช้ไฟฟ้าและพลังงานของชาติ คือ การ
เลือกแนวทางที่เหมาะสมสอดคล้องกับชีวิตและอุปนิสัยของคนไทย ด้วยการใช้ “กลยุทธ์การ
ประหยัดพลังงาน 3 อ.” ได้แก่ อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า อาคารประหยัดไฟฟ้า และอุปนิสัยประหยัด
ไฟฟ้า ซึ่งฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ที่ดำเนินการโดย กฟผ. เป็นตัวอย่างหนึ่งของกลยุทธ์ประหยัด
พลังงานที่ประสบความสำเร็จ ตามกลยุทธ์ 3 อ. โดยแบ่งรายละเอียดเป็น 3 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 กลยุทธ์ อ. 1 อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า
ตอนที่ 2 กลยุทธ์ อ. 2 อาคารประหยัดไฟฟ้า
ตอนที่ 3 กลยุทธ์ อ. 3 อุปนิสัยประหยัดไฟฟ้า
การประหยัดพลังงาน คือ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และรู้คุณค่า
การประหยัดพลังงานนอกจากช่วยลดปริมาณการใช้พลังงาน ยังเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายของ
ครัวเรือนและประเทศชาติแล้ว ยังช่วยลดปัญหาผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมได้ด้วย กลยุทธ์หนึ่งของ
ประเทศไทย ที่ประสบความสำเร็จด้านการประหยัดการใช้ไฟฟ้าและพลังงานของชาติ คือ การ
เลือกแนวทางที่เหมาะสมสอดคล้องกับชีวิตและอุปนิสัยของคนไทย ด้วยการใช้ “กลยุทธ์การ
ประหยัดพลังงาน 3 อ.” ได้แก่ อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า อาคารประหยัดไฟฟ้า และอุปนิสัยประหยัด
ไฟฟ้า ซึ่งฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ที่ดำเนินการโดย กฟผ. เป็นตัวอย่างหนึ่งของกลยุทธ์ประหยัด
พลังงานที่ประสบความสำเร็จ ตามกลยุทธ์ 3 อ. โดยแบ่งรายละเอียดเป็น 3 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 กลยุทธ์ อ. 1 อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า
ตอนที่ 2 กลยุทธ์ อ. 2 อาคารประหยัดไฟฟ้า
ตอนที่ 3 กลยุทธ์ อ. 3 อุปนิสัยประหยัดไฟฟ้า
อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า
กลยุทธ์ อ. 1 อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า เป็นการส่งเสริมให้ทุกครัวเรือนเปลี่ยนมาใช้
อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง ประหยัดไฟ กฟผ. จึงได้ดำเนินโครงการ “ฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 หรือ ฉลากเบอร์ 5” มุ่งส่งเสริมให้ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน โดยมีการรับรองภายใต้สัญลักษณ์ “ฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์5” โดยในปัจจุบัน กฝผ. ได้ให้การรับรองอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าฉลากเบอร์ 5 รวม 24 รายการ ดังนี้
- ปี 2536 โครงการประชาร่วมใจ ใช้หลอดผอม
- ปี 2537 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ตู้เย็น
- ปี 2538 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 เครื่องปรับอากาศ
- ปี 2539 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 หลอดตะเกียบ
- ปี 2541 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 บัลลาสต์นิรภัย
- ปี 2542 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ข้าวกล้องหอมมะลิ
- ปี 2544 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 พัดลมไฟฟ้า
- ปี 2547 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 หม้อหุงข้าวไฟฟ้า
- ปี 2547 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 โคมไฟประสิทธิภาพสูง
- ปี 2550 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ T5
- ปี 2551 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 พัดลมส่ายรอบตัว
- ปี 2552 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 หลอดผอมเบอร์ 5
- ปี 2553 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 Standby Power 1 Watt (เครื่องรับโทรทัศน์/จอคอมพิวเตอร์)
- ปี 2554 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 เตารีดไฟฟ้า
- ปี 2554 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5
- ปี 2555 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 พัดลมระบายอากาศ
- ปี 2555 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 เครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า
- ปี 2556 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 เครื่องซักผ้าชนิดฝาบนถังเดี่ยว
- ปี 2556 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 LED (Light Emitting Diode)
- ปี 2557 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 เตาไมโครเวฟ
- ปี 2557 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 เตาแม่เหล็กไฟฟ้า
- ปี 2557 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 กาต้มน้ำไฟฟ้า
- ปี 2557 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 เครื่องรับโทรทัศน์
- ปี 2558 โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ตู้แช่แสดงสินค้า


ฉลากเบอร์ 5 ของแท้
- 2. กลยุทธ์ อ. 2 อาคารประหยัดไฟฟ้า
- กลยุทธ์ อ. 2 อาคารประหยัดไฟฟ้า เป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการภาคธุรกิจ
- และภาคอุตสาหกรรม เห็นความสำคัญและพร้อมใจกันใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง เช่นเดียวกับกลุ่มภาคที่อยู่อาศัยพร้อมไปกับการใช้มาตรการต่าง ๆ ที่เป็นการประหยัดไฟฟ้า ซึ่งได้แก่ การบริหารการใช้ไฟฟ้า การปรับปรุงระบบป้องกันความร้อนเข้าสู่อาคาร การใช้ระบบปรับอากาศประสิทธิภาพสูง การปรับปรุงระบบแสงสว่าง และการจัดการอบรมให้ความรู้ด้านการใช้พลังงานอย่างถูกต้อง ลดต้นทุนการผลิตสินค้าให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยการ
- ประหยัดพลังงานไฟฟ้าในอาคารสามารถดำเนินการได้ ดังนี้
- 1) การออกแบบวางตำแหน่งอาคาร ให้หันอาคารไปยังทิศที่หลบแดดทิศตะวันตก
- 2) ถ้าพื้นที่ดินไม่เอื้ออำนวยให้วางอาคารหลบแดดทิศตะวันตก ให้ใช้ไม้ยืนต้นให้
- ร่มเงาแก่อาคาร พร้อมทิ้งชายคาหลังคาหรือจัดทำแผงบังแดดช่วยเสริมการบังแดด
- 3) ผนัง หลังคา และฝ้าเพดานอาคาร ให้ใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติเป็นฉนวนความร้อน
- สะท้อน หรือป้องกันความร้อน
- 4) ใช้วัสดุนวัตกรรมช่วยระบายความร้อน เช่น ลูกระบายอากาศอลูมิเนียมที่ทำงาน
- โดยไม่ต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้า
- 5) ระบบปรับอากาศ ให้ใช้ชนิดประหยัดไฟ และแยกสวิตช์เปิด – ปิดเฉพาะเครื่อง
- เพื่อให้ควบคุมการเปิด - ปิดตามความประสงค์การใช้งานในแต่ละบริเวณ
- 6) ลดจำนวนพัดลมดูดอากาศ เพื่อป้องกันการสูญเสียอากาศเย็นมิให้ออกไปจาก
- ห้องปรับอากาศมากเกินไป
- 7) ระบบไฟฟ้าแสงสว่างให้พยายามใช้ประโยชน์จากแสงธรรมชาติในเวลากลางวัน
- เช่น ใช้กระเบื้องโปร่งแสง หน้าต่างใช้กระจกใส เป็นต้น
- 8) หลอดไฟให้ใช้ชนิดเกิดความร้อนที่ดวงโคมน้อย เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์
- เพื่อเครื่องปรับอากาศไม่ต้องใช้พลังงานมาลดความร้อนจากหลอดไฟแสงสว่างโดยไม่จำเป็น
- 9) หลอดฟลูออเรสเซนต์ให้ใช้อุปกรณ์นวัตกรรม คือ บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์
- เพื่อยืดอายุการใช้งานของหลอดไฟ และประหยัดค่าไฟฟ้า ใช้ครอบโลหะสะท้อนแสงช่วยเพิ่มความ
- สว่างแก่หลอดไฟเป็น 2 – 3 เท่า โดยใช้จำนวนหลอดไฟเท่าเดิม
- 10) ออกแบบภูมิทัศน์รอบอาคารเพื่อลดความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร เช่น ปลูกหญ้า
- รอบอาคาร ขุดสระน้ำ ติดตั้งน้ำพุ ดักลมก่อนพัดเข้าสู่อาคาร และปลูกไม้ยืนต้นให้ร่มเงา เป็นต้น
- 3. กลยุทธ์ อ. 3 อุปนิสัยประหยัดไฟฟ้า
- กลยุทธ์ อ. 3 คือ อุปนิสัยประหยัดไฟฟ้า เป็นการปลูกจิตสำนึกและอุปนิสัยให้คนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนไทย ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดย กฟผ. ได้มีการนำร่องจัดทำโครงการห้องเรียนสีเขียวขึ้นในโรงเรียนระดับต่าง ๆ ทั่วประเทศกว่า 420 โรงเรียน ได้จัดเป็นฐานการเรียนรู้ มีการติดตั้งอุปกรณ์การเรียนรู้ให้เป็นฐานกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ฐานการเรียนรู้ไฟฟ้ามีประโยชน์มากมาย แหล่งกำเนิดไฟฟ้า เปรียบเทียบประสิทธิภาพอุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นต้น และสอดแทรกแบบฝึกหัดเกี่ยวกับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเข้าไปในบทเรียน เพื่อเสริมสร้างทัศนคติให้กับเยาวชน และผลการดำเนินโครงการประสบผลสำเร็จสามารถขยายผล ไปยังชุมชน จึงนับว่าเป็นโครงการที่เสริมสร้างทัศนคติในการใช้พลังงานไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การสร้างหรือพัฒนาอุปนิสัยประหยัดพลังงานอาจไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือ ร่วมใจจากสมาชิกในครัวเรือน องค์การหรือสำนักงาน ซึ่งจำเป็นต้องสร้างความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องของแนวทางปฏิบัติที่นำไปสู่อุปนิสัยการประหยัดพลังงาน และผลที่จะได้รับทั้งในส่วนของตนเอง คือ สามารถประหยัดค่าใช้พลังงานไฟฟ้า และการช่วยประเทศชาติให้ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในภาพรวม ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างและสนับสนุนความมั่นคงของพลังงานไฟฟ้าในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2559 กระทรวงพลังงานได้จัดโครงการ “รวมพลังคนไทยลดพีคไฟฟ้า” เพื่อขอความร่วมมือให้คนไทยร่วมกันประหยัดการใช้ไฟฟ้าในช่วงหน้าร้อนที่มีโอกาส จะเกิดการใช้ไฟฟ้าสูงสุด เรียกว่า “ปฏิบัติการ 4 ป. ได้แก่ ปิด – ปรับ – ปลด – เปลี่ยน”

4.2 การเลือกซื้อ การใช้และการดูแลรักษาเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน
เรื่องที่ 2 การเลือกซื้อ การใช้ และการดูแลรักษาเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน
โดยทั่วไป เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือน มักมีการใช้พลังงานสูงแทบทุกชนิด ดังนั้นผู้ใช้ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการเลือกซื้อและการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดให้เหมาะสมและถูกวิธีเพื่อทำให้เกิดความประหยัดและคุ้มค่า ในที่นี้จะกล่าวถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการใช้ทั่วไปในครัวเรือน
ดังนี้
1. เครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า
เครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้น้ำร้อนขึ้น โดยอาศัยการพาความร้อนจากขดลวดความร้อน (Electrical Heater) ขณะที่กระแสน้ำไหลผ่าน ส่วนประกอบหลักของเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า คือ
1) ตัวถังน้ำ จะบรรจุน้ำซึ่งจะถูกทำให้ร้อน
2) ขดลวดความร้อน เป็นอุปกรณ์ที่ให้ความร้อนกับน้ำ
3) อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ จะทำหน้าที่ตัดกระแสไฟฟ้าเมื่ออุณหภูมิของน้ำถึงระดับที่ตั้งไว้
ภาพส่วนประกอบต่าง ๆ ของเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า
การเลือกซื้อและการใช้อย่างถูกวิธีและประหยัดพลังงาน
1) เลือกเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการใช้ สำหรับบ้านทั่วไปเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า ขนาดไม่เกิน 4,500 วัตต์ ก็น่าจะเพียงพอ ซึ่งจะช่วยทั้งประหยัดไฟฟ้าที่ใช้ในเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าและปั๊มน้ำ
2) ตั้งอุณหภูมิน้ำไม่สูงจนเกินไป (ปกติอยู่ในช่วง 35 - 45 ํC)
3) ใช้หัวฝักบัวชนิดประหยัดน้ำ จะช่วยประหยัดน้ำได้ถึง ร้อยละ 25 - 75
4) ใช้เครื่องทำน้ำอุ่นที่มีถังน้ำภายในตัวเครื่องและมีฉนวนหุ้ม เพราะสามารถลดการใช้พลังงานได้มากกว่าชนิดที่ไม่มีถังน้ำภายใน ร้อยละ 10 - 20
5) ปิดวาล์วน้ำและสวิตช์ทันทีเมื่อเลิกใช้งาน
6) ไม่เปิดเครื่องตลอดเวลาขณะฟอกสบู่อาบน้ำ หรือขณะสระผมค่าไฟฟ้าของเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าขนาดต่าง ๆ เมื่อใช้งานเป็นเวลา 1 ชั่วโมงขนาดเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า ค่าไฟฟ้าต่อชั่วโมงโดยประมาณ
ขนาดเล็ก (3,000 - น้อยกว่า 5,000 วัตต์) 13.20 บาท ขนาดกลาง (5,000 - น้อยกว่า 8,000 วัตต์) 18.00 บาท ขนาดใหญ่ (8,000 วัตต์ ขึ้นไป) 24.00 บาท
การดูแลรักษาและความปลอดภัย
1) หมั่นตรวจสอบการทำงานของเครื่องให้มีสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบความปลอดภัยของเครื่อง
2) ตรวจดูระบบท่อน้ำและรอยต่ออย่าให้มีการรั่วซึม
3) เมื่อพบความผิดปกติในการทำงานของเครื่อง ควรให้ช่างผู้ชำนาญตรวจสอบ
4) ต้องมีการต่อสายดิน
2. กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า
กระติกน้ำร้อนไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ในการต้มน้ำให้ร้อน ประกอบด้วยขดลวดความร้อน(Electrical Heater) อยู่ด้านล่างของกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า และอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ(Thermostat) เป็นอุปกรณ์ควบคุมการทำงานเมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวด จะเกิดความร้อน และถ่ายเทไปยังน้ำภายในกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า ทำให้น้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนถึงจุดเดือด จากนั้นอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิจะตัดกระแสไฟฟ้าในวงจรหลักออกไป แต่ยังคงมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดความร้อน และแสดงสถานะนี้ โดยหลอดไฟสัญญาณอุ่นจะสว่างขึ้น เมื่ออุณหภูมิของน้ำร้อนภายในกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าลดลงจนถึงจุด ๆ หนึ่ง อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิจะทำงานโดยปล่อยให้กระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดความร้อนเต็มที่ทำให้น้ำเดือดอีกครั้งกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าโดยทั่วไปที่มีจำหน่ายในท้องตลาดจะมีขนาดความจุตั้งแต่ 2 - 4 ลิตร และใช้กำลังไฟฟ้าระหว่าง 500 - 1,300 วัตต์
ภาพส่วนประกอบหลักของกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า
การเลือกซื้อและการใช้อย่างถูกวิธีและประหยัดพลังงาน
1) เลือกซื้อรุ่นที่มีตรามาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.)
2) ใส่น้ำให้พอเหมาะกับความต้องการหรือไม่สูงกว่าระดับที่กำหนดไว้ เพราะจะทำให้กระติกน้ำร้อนไฟฟ้าเกิดความเสียหาย
3) ระวังอย่าให้น้ำแห้ง หรือปล่อยให้ระดับน้ำต่ำกว่าขีดที่กำหนด เพราะจะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรในกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า เป็นอันตรายอย่างยิ่ง
4) ถอดปลั๊กเมื่อเลิกใช้น้ำร้อนแล้ว เพื่อลดการสิ้นเปลืองพลังงาน ไม่ควรเสียบปลั๊กตลอดเวลา แต่หากมีความต้องการใช้น้ำร้อนเป็นระยะ ๆ ติดต่อกัน เช่น ในที่ทำงานบางแห่งที่มีน้ำร้อนไว้สำหรับเตรียมเครื่องดื่มต้อนรับแขก ก็ไม่ควรถอดปลั๊กออกบ่อย ๆ เพราะทุกครั้งเมื่อดึงปลั๊กออกอุณหภูมิของน้ำจะค่อย ๆ ลดลง กระติกน้ำร้อนไฟฟ้าไม่สามารถเก็บความร้อนได้นาน เมื่อจะใช้งานใหม่ก็ต้องเสียบปลั๊ก และเริ่มต้มน้ำใหม่ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงาน
5) อย่านำสิ่งใด ๆ มาปิดช่องไอน้ำออก
6) ตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในสภาพใช้งานได้เสมอ
7) ไม่ควรตั้งไว้ในห้องที่มีการปรับอากาศ ค่าไฟฟ้าของกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าขนาดต่าง ๆ เมื่อใช้งานเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ขนาดของกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า ค่าไฟฟ้าต่อชั่วโมงโดยประมาณ 2 ลิตร 2.40 บาท
2.5 ลิตร 2.60 บาท 3.2 ลิตร 2.88 บาท
การดูแลรักษา
การดูแลรักษากระติกน้ำร้อนไฟฟ้าให้มีอายุการใช้งานนานขึ้น ลดการใช้พลังงานลงและป้องกันอุบัติเหตุ หรืออันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น
1. หมั่นตรวจดูสายไฟฟ้าและขั้วปลั๊กให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เสมอ
2. ควรนำน้ำที่สะอาดเท่านั้นมาต้ม มิฉะนั้นผิวในกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าอาจเปลี่ยนสีเกิดคราบสนิมและตะกรัน
3. หมั่นทำความสะอาดตัวกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าด้านใน อย่าให้มีคราบตะกรัน ซึ่งจะเป็นตัวต้านทาน การถ่ายเทความร้อนจากขดลวดความร้อนไปสู่น้ำ ทำให้เวลาในการต้มน้ำเพิ่มขึ้นเป็นการสูญเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์
4. เมื่อไม่ต้องการใช้กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า ควรล้างด้านในให้สะอาด แล้วคว่ำลงให้น้ำออกจากตัวกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า แล้วใช้ผ้าเช็ดด้านในให้แห้ง
5. การทำความสะอาดส่วนต่าง ๆ ของกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า
- ตัวและฝากระติกน้ำร้อนไฟฟ้า ใช้ผ้าชุบน้ำบิดให้หมาดแล้วเช็ดอย่างระมัดระวัง
- ฝาปิดด้านใน ใช้น้ำหรือน้ำยาล้างจานล้างให้สะอาด
- ตัวกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าด้านใน ใช้ฟองน้ำชุบน้ำเช็ดให้ทั่ว ล้างให้สะอาดด้วยน้ำโดยอย่าราดน้ำ ลงบนส่วนอื่นของตัวกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า นอกจากภายในกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าเท่านั้น อย่าใช้ของมีคมหรือฝอยขัดหม้อขูดหรือขัดตัวกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าด้านใน เพราะจะทำให้สารเคลือบหลุดออกได้
3. พัดลม พัดลมที่ใช้ในบ้านเป็นอุปกรณ์หลักที่ช่วยในการหมุนเวียนอากาศ และระบายความร้อนภายในบ้าน ซึ่งในปัจจุบันพัดลมที่ใช้มีหลากหลายลักษณะและประเภทขึ้นอยู่กับการใช้งานส่วนประกอบหลักของพัดลม ได้แก่ ใบพัด ตะแกรงคลุมใบพัด มอเตอร์ไฟฟ้า สวิตช์ควบคุมการทำงาน และกลไกควบคุมการหมุนและส่าย ดังรูป
ภาพส่วนประกอบหลักของพัดลม
การเลือกซื้อและการใช้อย่างถูกวิธีและประหยัดพลังงาน
1. เลือกซื้อพัดลมที่เป็นระบบธรรมดา เพราะจะประหยัดไฟกว่าระบบที่มีรีโมทคอนโทรล หรือระบบไอน้ำ
2. เลือกซื้อยี่ห้อและรุ่นที่ได้รับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) และมีฉลากเบอร์ 5
3. เลือกที่มีขนาดใบพัดและกำลังไฟฟ้าให้เหมาะสม และตรงกับความต้องการใช้งาน
4) เลือกใช้ความแรงของลมให้เหมาะกับความต้องการ ความแรงของลมยิ่งมากยิ่งเปลืองไฟ
5) ปิดพัดลมทันทีเมื่อไม่ใช้งาน
6) ในกรณีที่พัดลมมีระบบรีโมทคอนโทรลอย่าเสียบปลั๊กทิ้งไว้ เพราะจะมีไฟฟ้าเลี้ยงอุปกรณ์ตลอดเวลา
7) ควรวางพัดลมในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพราะพัดลมใช้หลักการดูดอากาศจากบริเวณรอบ ๆ ทางด้านหลังของตัวใบพัด แล้วปล่อยออกสู่ด้านหน้า เช่น ถ้าอากาศบริเวณรอบพัดลมมีการถ่ายเทดี ไม่ร้อนหรืออับชื้น ก็จะได้รับลมเย็น รู้สึกสบาย และยังทำให้มอเตอร์สามารถระบายความร้อนได้ดี เป็นการยืดอายุการใช้งานอีกด้วย
การดูแลรักษา
การดูแลรักษาพัดลมอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้พัดลมทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และยังช่วยยืดอายุการทำงาน มีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้
1) หมั่นทำความสะอาดตามจุดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใบพัด และตะแกรงครอบใบพัด อย่าให้ฝุ่นละอองเกาะจับ และต้องดูแลให้มีสภาพดีอยู่เสมอ อย่าให้แตกหัก ชำรุด หรือโค้งงอ ผิดส่วน จะทำให้ลมที่ออกมามีความแรงของลมลดลง
2) หมั่นทำความสะอาดช่องลมตรงฝาครอบมอเตอร์ของพัดลม ซึ่งเป็นช่องระบายความร้อนของมอเตอร์ อย่าให้มีคราบน้ำมันหรือฝุ่นละอองเกาะจับ เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพของมอเตอร์ลดลง และสิ้นเปลืองไฟฟ้ามากขึ้น
4. โทรทัศน์ โทรทัศน์เป็นอุปกรณ์ที่แปลงสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นภาพด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความซับซ้อน มีส่วนประกอบ ดังนี้
1) ส่วนประกอบภายนอก คือ ตัวโครงที่ห่อหุ้มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จอภาพซึ่งจะมีการเคลือบสารพิเศษทางด้านใน ปุ่มหรือสวิตช์ต่าง ๆ และช่องต่อสายอากาศ เป็นต้น
2) ส่วนประกอบภายใน คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตัวรับเปลี่ยนสัญญาณที่มาในรูปขอคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นภาพและเสียง ส่วนประกอบของจอภาพและระบบเสียงรวมทั้งลำโพง
เป็นต้น
ภาพการส่งสัญญาณโทรทัศน์มายังเครื่องรับโทรทัศน์
ปริมาณพลังงานที่โทรทัศน์ใช้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและขนาดของจอภาพ โดยขนาดจอภาพของโทรทัศน์ ระบุด้วยความยาวเส้นทแยงของมุมจอภาพ โทรทัศน์แต่ละขนาดและแต่ละประเภทจะมีการใช้ไฟฟ้าแตกต่างกัน ยิ่งขนาดจอภาพใหญ่ก็จะใช้กำลังไฟฟ้ามากวัดตามเส้นทแยงมุม ชนขอบดำหน่วยเป็นนิ้ว ค่าไฟฟ้าของโทรทัศน์ชนิดและขนาดต่าง ๆ เมื่อใช้งานเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ชนิดและขนาดของจอโทรทัศน์ ค่าไฟฟ้าต่อชั่วโมงโดยประมาณ จอแบน 20 นิ้ว 0.28 บาท จอแบน 25 นิ้ว 0.67 บาท จอ LCD 26 นิ้ว 0.35 บาท จอ LCD 46 นิ้ว 0.76 บาท จอ LED 26 นิ้ว 0.20 บาท จอ LED 46 นิ้ว 0.40 บาท
การเลือกซื้อและการใช้อย่างถูกวิธีและประหยัดพลังงาน
1) การเลือกใช้โทรทัศน์ควรคำนึงถึงความต้องการในการใช้งาน โดยพิจารณาจากขนาดและการใช้กำลังไฟฟ้า สำหรับเทคโนโลยีเดียวกัน โทรทัศน์ที่มีขนาดใหญ่ ยิ่งกินไฟมากขึ้น
2) อย่าเสียบปลั๊กทิ้งไว้ เพราะโทรทัศน์จะมีไฟฟ้าหล่อเลี้ยงระบบภายในอยู่ตลอดเวลา ทำให้สิ้นเปลืองไฟ และอาจก่อให้เกิดอันตรายในขณะเกิดฟ้าแลบได้
3) ปิดและถอดปลั๊กทันทีเมื่อไม่มีคนดู หากชอบหลับหน้าโทรทัศน์บ่อย ๆ ควรใช้โทรทัศน์ รุ่นที่ตั้งเวลาปิดโดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยประหยัดไฟฟ้า
4) หากชมโทรทัศน์ช่องเดียวกันควรดูด้วยกัน ประหยัดทั้งค่าไฟ และอบอุ่นใจได้อยู่ด้วยกันทั้งครอบครัว
5) เลิกเปิดโทรทัศน์ล่วงหน้าเพื่อรอดูรายการที่ชื่นชอบ เปิดดูรายการเมื่อถึงเวลา
ออกอากาศ
6) ไม่ควรปรับจอภาพให้สว่างมากเกินไป และไม่ควรเปลี่ยนช่องบ่อย เพราะจะ ทำให้หลอดภาพมีอายุการใช้งานลดลง และสิ้นเปลืองไฟฟ้าโดยไม่จำเป็น
การดูแลรักษา
การดูแลรักษาและใช้โทรทัศน์ให้ถูกวิธี นอกจากจะช่วยให้โทรทัศน์เกิดความคงทน
ภาพที่ได้คมชัด และมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ควรมีข้อปฏิบัติ ดังนี้
1) ควรวางโทรทัศน์ไว้ในจุดที่มีการถ่ายเทอากาศได้ดี เพื่อให้เครื่องสามารถระบาย
ความร้อนได้สะดวก
2) หมั่นทำความสะอาดเป็นประจำเพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองที่เกาะบนจอภาพโดยใช้ผ้านุ่มเช็ดตัวเครื่องโทรทัศน์ ส่วนจอภาพควรใช้ผงซักฟอกอย่างอ่อน หรือน้ำยาล้างจานผสมกับน้ำเช็ดเบา ๆ จากนั้นเช็ดด้วยผ้านุ่มให้แห้ง และต้องถอดปลั๊กออกก่อนทำความสะอาดทุกครั้ง
5. เตารีดไฟฟ้า
เตารีดไฟฟ้าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีใช้กันแทบทุกครัวเรือน หากเปรียบเทียบกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ เตารีดจัดเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้กำลังไฟฟ้าสูง การทราบแนวทางการเลือกซื้อและใช้งานอย่างถูกวิธีจะสามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ ในท้องตลาดเตารีดสามารถแบ่งได้3 ลักษณะ คือ เตารีดแบบธรรมดา แบบมีไอน้ำ และแบบกดทับ ส่วนประกอบและการทำงานเตารีดมีส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วน คือ
1) ไส้เตารีดไฟฟ้า ทำมาจากโลหะผสมระหว่างนิกเกิลและโครเมียม ทำหน้าที่ให้กำเนิดความร้อนเมื่อได้รับกระแสไฟฟ้า โดยความร้อนจะมากหรือน้อยขึ้นกับส่วนผสมของโลหะและความยาวขดลวด
2) เทอร์มอสแตต ทำหน้าที่ปรับความร้อนของไส้เตารีดให้เท่ากับระดับที่ได้ตั้งไว้
3) แผ่นโลหะด้านล่างของเตารีด ทำหน้าที่เป็นตัวกดทับเวลารีด และกระจายความร้อน
แบบธรรมดา แบบไอน้ำ แบบกดทับเตารีดไฟฟ้าที่มีชนิดและขนาดต่างกัน มีอัตราการใช้กำลังไฟฟ้าไม่เท่ากัน ดังนี้
ชนิดของ เตารีดไฟฟ้า ขนาด แรงกดทับ ลักษณะ กำลังไฟฟ้า(วัตต์) ธรรมดา 1 – 2 กิโลกรัม ตัวเตามีอุปกรณ์ 3 ชิ้น คือ แผ่นโลหะ ด้ามจับและปุ่มควบคุมความร้อน750 – 1,000ไอน้ำ 1 – 2 กิโลกรัม
มีช่องไอน้ำทางด้านล่างเตารีด และวาล์วควบคุมการเปิดน้ำไหลออก 1,100 – 1,750 ชนิดของเตารีดไฟฟ้า ขนาด แรงกดทับ ลักษณะ กำลังไฟฟ้า (วัตต์)กดทับ 40 – 50 กิโลกรัมมีแผ่นความร้อนที่มีขนาดใหญ่กว่า เตารีดแบบธรรมดาและแบบไอน้ำ มีคันโยกสำหรับกดทับ 900 – 1,200 การเลือกซื้อและการใช้เตารีดไฟฟ้าอย่างถูกวิธีและประหยัดพลังงานในการใช้เตารีดไฟฟ้าอย่างประหยัดพลังงาน เราไม่ควรที่จะลดปริมาณความร้อนที่ใช้ในการรีดลง แต่ควรใช้เตารีดไฟฟ้า รีดผ้าอย่างรวดเร็วที่ระดับความร้อนที่เหมาะสมกับความหนาและชนิดของผ้า รวมทั้งควรปฏิบัติดังนี้
1) เลือกซื้อเฉพาะเตารีดไฟฟ้าที่ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) และมีฉลากเบอร์ 5
2) เลือกซื้อขนาดและกำลังไฟฟ้าให้เหมาะกับความต้องการและลักษณะการใช้งาน
3) ควรเก็บผ้าที่รอรีดให้เรียบร้อย และให้ผ้ายับน้อยที่สุด
4) ควรแยกประเภทผ้าหนาและผ้าบาง เพื่อความสะดวกในการรีด
5) ควรรวบรวมผ้าที่จะรีดแต่ละครั้งให้มากพอ การรีดผ้าครั้งละชุดทำให้สิ้นเปลือง
ไฟฟ้ามาก
6) ไม่ควรพรมน้ำมากจนเกินไป เพราะจะทำให้สูญเสียความร้อนจากการรีดมาก
7) ควรเริ่มรีดจากผ้าบาง ๆ หรือต้องการความร้อนน้อยก่อน จากนั้นจึงรีดผ้าที่ต้องการความร้อนสูง และควรเหลือผ้าที่ต้องการความร้อนน้อยส่วนหนึ่ง ไว้รีดในตอนท้าย
8) ควรถอดปลั๊กก่อนเสร็จสิ้นการรีด 3 - 4 นาทีค่าไฟฟ้าของเตารีดไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ เมื่อใช้งานเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ชนิดของเตารีดไฟฟ้า ค่าไฟฟ้าต่อชั่วโมงโดยประมาณ
เตารีดไฟฟ้าธรรมดา 4.00 บาท
เตารีดไฟฟ้าไอน้ำขนาดเล็ก 5.32 บาท
เตารีดไฟฟ้าไอน้ำขนาดใหญ่ 7.20 บาท
การดูแลรักษา
1. ตรวจดูหน้าสัมผัสเตารีดไฟฟ้า หากพบคราบสกปรก ให้ใช้ฟองน้ำชุบน้ำยาทำความสะอาดเช็ดออก เพราะคราบสกปรกจะเป็นตัวต้านทานความร้อน ทำให้สิ้นเปลืองไฟฟ้ามากขึ้นในการเพิ่มความร้อน
2. สำหรับเตารีดไฟฟ้าไอน้ำ น้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำกลั่นเพื่อป้องกันการเกิดตะกรัน ซึ่งตะกรันจะเป็นสาเหตุของการเกิดความต้านทานความร้อน
3. เมื่อเกิดการอุดตันของช่องไอน้ำซึ่งเกิดจากตะกรัน เราสามารถกำจัดได้โดยเติมน้ำส้มสายชูลงในถังเก็บน้ำของเตารีดไฟฟ้าไอน้ำ แล้วเสียบสายไฟให้เตารีดร้อนเพื่อทำให้น้ำส้มสายชูกลายเป็นไอ จากนั้นเติมน้ำลงไป เพื่อล้างน้ำส้มสายชูออกให้หมด แล้วจึงใช้แปรงเล็ก ๆทำความสะอาดช่องไอน้ำ
4. การใช้เตารีดไฟฟ้าไปนาน ๆ แม้ว่าจะไม่เกิดการเสียหายชำรุด ก็ควรมีการตรวจ
หรือเปลี่ยนอุปกรณ์ภายในบางอย่าง รวมทั้งสายไฟที่ต่อกันอยู่ซึ่งอาจชำรุด เสื่อมสภาพ ทำให้วงจร
ภายในทำงานไม่สมบูรณ์
6. ตู้เย็น
ตู้เย็น เป็นอุปกรณ์ที่มีใช้แพร่หลายในครัวเรือน เป็นอุปกรณ์ทำความเย็นเพื่อถนอมอาหารโดยการลดอุณหภูมิ ตู้เย็นเป็นอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นการเลือกและใช้ตู้เย็นอย่างเหมาะสมจะช่วยประหยัดพลังงานได้มาก
ภาพตู้เย็น
อุปกรณ์หลัก ๆ ที่ทำให้ภายในตู้เย็นเกิดความเย็น ประกอบด้วย
1. คอมเพรสเซอร์ ทำหน้าที่ในการอัดและดูดสารทำความเย็นให้หมุนเวียนในระบบของตู้เย็น
2. แผงทำความเย็น มีหน้าที่กระจายความเย็นภายในตู้เย็น
3. แผงระบายความร้อน เป็นส่วนที่ใช้ระบายความร้อนของสารทำความเย็นแผงระบายความร้อนนี้ติดตั้งอยู่ด้านหลังของตู้เย็น
4. ตัวตู้เย็นทำจากโลหะ และอัดฉีดโฟมอยู่ระหว่างกลาง เพื่อทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อนจากภายนอก โดยปกติเราระบุขนาดของตู้เย็นเป็นคิว หรือลูกบาศก์ฟุต
5. อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ สวิตช์โอเวอร์โหลด พัดลมกระจาย
ความเย็น ฯลฯความเย็นของตู้เย็นเกิดขึ้นจากระบบทำความเย็น เมื่อเราเสียบปลั๊กไฟฟ้าให้กับตู้เย็น
คอมเพรสเซอร์จะดูดและอัดไอสารทำความเย็นให้มีความดันสูงขึ้น และไหลไปยังแผงระบายความร้อนเพื่อถ่ายเทความร้อนสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก จากนั้นจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวไหลผ่านวาล์วควบคุมสารทำความเย็นเพื่อลดความดัน ไหลต่อไปที่แผงทำความเย็นเพื่อดูดความร้อนจากอาหารและเครื่องดื่มที่แช่อยู่ในตู้เย็น ณ จุดนี้ สารทำความเย็นจะเปลี่ยนสถานะกลายเป็นไอ และกลับไปยังคอมเพรสเซอร์เพื่อเริ่มวงจรทำความเย็นใหม่อีกครั้ง
การเลือกซื้อและการใช้อย่างถูกวิธีและประหยัดพลังงาน
1) เลือกซื้อตู้เย็นที่ได้รับการรับรองฉลากเบอร์ 5
2) เลือกซื้อประเภทและขนาดให้เหมาะกับความต้องการและลักษณะการใช้งาน
3) ค่าไฟฟ้าจะเพิ่มตามจำนวนครั้งของการเปิด - ปิดตู้เย็น เพราะเมื่อเปิดตู้เย็นความร้อนภายนอกจะไหลเข้าตู้เย็น ทำให้คอมเพรสเซอร์ต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อรักษาอุณหภูมิภายในตู้เย็นให้คงเดิมตามที่ตั้งไว้
4) ถ้าอุณหภูมิโดยรอบสูงขึ้น ปริมาณความร้อนจะถูกถ่ายเทเข้าไปในตู้เย็นมากขึ้นเป็นการเพิ่มภาระให้กับระบบทำความเย็น ดังนั้นจึงไม่ควรติดตั้งตู้เย็นใกล้กับแหล่งกำเนิดความร้อนใด ๆ หรือรับแสงอาทิตย์โดยตรง
5) ไม่เก็บอาหารในตู้เย็นมากเกินไป เพราะจะทำให้อุณหภูมิในตู้เย็นไม่สม่ำเสมอควรให้มีช่องว่าง เพื่อให้อากาศภายในไหลเวียนได้สม่ำเสมอ
6) ถ้านำอาหารที่มีอุณหภูมิสูงไปแช่ในตู้เย็นจะส่งผลกระทบดังนี้
(1) ทำให้อาหารต่าง ๆ ที่อยู่ในบริเวณข้างเคียงเสื่อมคุณภาพหรือเสียได้
(2) หากตู้เย็นกำลังทำงานเต็มที่จะทำให้ไอสารทำความเย็นก่อนเข้าเครื่องอัดร้อนจนไม่สามารถทำหน้าที่หล่อเย็นคอมเพรสเซอร์ได้เพียงพอ และส่งผลให้อายุคอมเพรสเซอร์สั้นลง
(3) สูญเสียพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น
7) เมื่อดึงปลั๊กออกแล้วไม่ควรเสียบปลั๊กใหม่ทันที เพราะเมื่อเครื่องหยุด สารทำความเย็นจากส่วนที่มีความดันสูงจะไหลไปทางที่มีความดันต่ำจนความดันภายในวงจรเท่ากัน ดังนั้นถ้าคอมเพรสเซอร์เริ่มทำงานทันที สารทำความเย็นยังไหลกลับไม่ทัน เครื่องจึงต้องออกแรงฉุดมากเพื่อเอาชนะแรงเฉื่อยและแรงเสียดทาน ซึ่งจะส่งผลให้มอเตอร์ของเครื่องอัดทำงานหนักและเกิดการชำรุดหรืออายุการใช้งานสั้นลงค่าไฟฟ้าของตู้เย็นขนาดต่าง ๆ เมื่อใช้งานเป็นเวลา 1 ชั่วโมง
ขนาดของตู้เย็น ค่าไฟฟ้าต่อชั่วโมงโดยประมาณ 4 คิว 0.21 บาท 6 คิว 0.27 บาท 12 คิว 0.72 บาท
การดูแลรักษา
1. สำหรับตู้เย็นที่มีแผงระบายความร้อนควรทำความสะอาดแผงระบายความร้อน ตู้เย็นสม่ำเสมอ ถ้ามีฝุ่นเกาะสกปรกมาก จะระบายความร้อนไม่ดี มอเตอร์ต้องทำงานหนัก เปลืองไฟมากขึ้น
2. อย่าให้ขอบยางประตูมีจุดชำรุดหรือเสื่อมสภาพ เพราะความร้อนจะไหลเข้าตู้เย็นทำให้มอเตอร์ต้องทำงานหนักและเปลืองไฟฟ้ามาก ตรวจสอบโดยเสียบกระดาษระหว่างขอบยางประตูแล้วปิดประตู ถ้าสามารถเลื่อนกระดาษไปมาได้แสดงว่าขอบยางเสื่อมสภาพ ควรติดต่อช่างมาเปลี่ยนขอบยาง
3. อุปกรณ์ระบายความร้อน จะติดตั้งอยู่ด้านหลังตู้เย็น เพื่อให้สามารถระบายความ
ร้อนได้ดี ควรวางตู้เย็นให้มีระยะห่างจากผนังไม่น้อยกว่า 10 ซม. ด้านบนอย่างน้อย 30 ซม. ด้านข้าง
อย่างน้อย 2 - 10 ซม.
7. หลอดไฟ
หลอดไฟ เป็นอุปกรณ์ให้แสงสว่างที่มีใช้กันทุกครัวเรือน ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต นอกจากประโยชน์ในเรื่องแสงสว่างแล้ว ยังสามารถใช้ในการตกแต่ง และสร้างบรรยากาศอีกด้วย โดยหลอดไฟที่ใช้กันอยู่มีหลายชนิด มีคุณสมบัติในการให้แสงสว่างและทางไฟฟ้าต่างกัน ดังนั้นหากผู้ใช้รู้จักเลือกใช้หลอดไฟอย่างเหมาะสม จะทำให้สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายได้มาก เพื่อให้สามารถเลือกซื้อได้อย่างถูกต้อง ผู้ใช้ควรรู้จักคุณสมบัติของหลอดไฟก่อน ซึ่งคุณสมบัติของหลอดไฟต่าง ๆ เหล่านี้ ส่วนมากมักจะมีบอกอยู่ที่ข้างกล่องหรือฉลากกำกับผลิตภัณฑ์ ก่อนซื้อจึงควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับคุณสมบัติดังกล่าว เพื่อเลือกซื้อหลอดไฟประเภทต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ต่อไปนี้คือ ชนิด คุณสมบัติและลักษณะการใช้ของหลอดไฟประเภทต่าง ๆ ที่นิยมใช้ในบ้านพักและอาคารต่าง ๆ
ชนิดของหลอดไฟ คุณสมบัติและลักษณะการใช้หลอดไส้ มีใช้กันมาหลายสิบปี สมัยก่อนนิยมใช้กับงานให้แสงสว่างในบ้านพักอาศัย ห้องอาหาร ห้องรับแขก แต่ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมเพราะกินไฟมาก คายความร้อน เปิดใช้ไม่นานหลอดจะร้อน อายุการใช้งานสั้นต้อง มีหลายขนาด เช่น 3วัตต์ 25 วัตต์ 40 วัตต์ 100 วัตต์ เป็นต้น ใช้คู่กับขั้วชนิด E14หรือ E27 แสงของหลอดไส้เมื่อส่องกับวัตถุต่างๆ แล้วสีของวัตถุจะไม่ผิดเพี้ยน ตามร้านเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ของประดับต่าง ๆ ชอบใช้กันเพราะสีสันของสินค้าจะไม่ผิดเพี้ยน และยังควบคุมปรับความเข้มของแสงด้วยสวิตช์หรี่ไฟ(Dimmer) ได้ด้วย
หลอดไส้
หลอดฟลูออเรสเซนต์หรือหลอดนีออน นิยมใช้ให้แสงสว่างทั่วไปทั้งภายในและภายนอกบ้าน อายุการใช้งานยาวนานกว่า หลอดไส้ ที่จะพบได้บ่อย เช่น
- หลอด T8 ขั้วที่ใช้ร่วมกันจะเป็น G13
- หลอดผอมจอมประหยัด T5 เป็นหลอดฟลูออเรสเซนต์
รุ่นเล็กที่สุด แต่ให้แสงสว่างเท่ากับหลอดนีออนทั่วไปและกินไฟน้อยกว่า มี 3 เฉดสี ได้แก่ สีเดย์ไลท์ สีคูลไวท์ และสีวอร์มไวท์ หลอดรุ่นนี้ใช้กับขั้ว G5- หลอดวงกลมเหมือนโดนัท ที่ติดตั้งพร้อมโคมเพดาน
มีหลายขนาด เช่น 22 วัตต์ 32 วัตต์ 40 วัตต์ เป็นต้น ใช้งานหลอดฟลูออเรสเซนต ์ พร้อมชุดขั้วหลอด
หลอด T8 หลอดวงกลม หลอด T5
ชนิดของหลอดไฟ คุณสมบัติและลักษณะการใช้
หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ เป็นหลอดที่พัฒนาขึ้นมาแทนหลอดไส้ เพื่อให้กินไฟน้อยลง ขนาดเล็กลง แต่กำลังส่องสว่างสูงขึ้น มีทั้งหลอดตะเกียบ หลอดเกลียว เป็นหลอดที่กินไฟน้อยกว่าหลอดชนิดอื่น ๆ ส่วนใหญ่ใช้งานให้แสงสว่างทั่วไปในบ้านพักอาศัย บริเวณที่ต้องเปิดไฟทิ้งไว้นาน ๆ อายุการใช้งานหลอดจะยาวนานกว่าหลอดไส้ถึง 8 เท่า และยาวนานกว่าหลอดนีออน 4 เท่า มี 2 แบบ คือ แบบมีบัลลาสต์ภายใน ใช้สวมแทนกับขั้วหลอดไส้ชนิดเกลียวได้ และแบบ บัลลาสต์ภายนอก ต้องมีขาเสียบกับบัลลาสต์ เช่น หลอดตะเกียบหลอดเกลียว หลอดจะมีอยู่ให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีเดย์ไลท์ สีคูล
ไวท์ และสีวอร์มไวท์ เหมือนหลอดฟลูออเรสเซนต์
หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์
หลอด LED (Light Emitting Diodes) เป็นหลอดไฟขนาดเล็กที่สุด แต่ให้แสงสว่างสู้เท่ากับหลอดรุ่นอื่น ๆ
หลักการทำงานของหลอด LED ต่างจากหลอดไส้ เนื่องจากเป็นหลอดไม่มีไส้ จึงไม่มีการเผาไส้หลอด หลอด LED ถึงไม่แผ่ความร้อน เพราะพลังงานส่วนใหญ่เปลี่ยนเป็นแสงไปหมดแล้ว แล้วก็อายุการใช้งานของหลอดยาวนานขึ้น ก็เพราะไม่มีการเผาไหม้นั่นเองหลอด LEDนอกจากชนิดของหลอดดังที่กล่าวมาแล้ว ยังมีหลอดไฟชนิดอื่น ๆ อีกมากมายให้ผู้ใช้ได้เลือกใช้ตามลักษณะหรือวัตถุประสงค์ของงาน เช่น ไฟส่องสว่างในรูปแบบต่าง ๆ ไฟประดับและตกแต่ง เป็นต้น
การเลือกซื้อและการใช้อย่างถูกวิธีและประหยัดพลังงาน
1) สำรวจรูปทรงของหลอดไฟ เพื่อกำหนดการใช้งาน ทิศทางการให้แสง และองศาของแสง
2) สำรวจขั้วหลอดที่ใช้ ซึ่งมีแบบขั้วเกลียว ขั้วเกลียวเล็ก ขั้วเข็ม หรือขั้วเสียบ
3) ตรวจสอบว่า ต้องมีอุปกรณ์ใดที่ใช้กับหลอดไฟ หรือ โคมไฟ เช่น หม้อแปลง บัลลาสต์ สวิตช์หรี่ไฟ เป็นต้น
4) พิจารณาคุณสมบัติของหลอดไฟ ให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยคุณสมบัติของหลอดไฟที่ต้องนำมาพิจารณา มีดังนี้
- ค่าฟลักซ์การส่องสว่าง (Luminous Flux) เป็นปริมาณแสงสว่างทั้งหมดที่ได้จากแหล่งกำเนิดแสง มีหน่วยวัดเป็นลูเมน (lm)
- ค่าความสว่าง (Illuminance) เป็นปริมาณแสงสว่างที่ตกกระทบบนวัตถุ(lumen) ต่อ 1 หน่วยพื้นที่ มีหน่วยเป็น ลูเมนต่อตารางเมตร (lm/sq.m.) หรือ ลักซ์ (Lux) นั่นเองโดยทั่วไป อาจเรียกว่า ระดับความสว่าง (Lighting level) จึงเป็นตัวที่บอกว่าแสงที่ได้เพียงพอหรือไม่
- ค่าความเข้มการส่องสว่าง (Luminous Intensity) เป็นความเข้มของแสงที่ส่องออกมาจากวัตถุ โดยทั่วไปจะวัดเป็นจำนวนเท่าของความเข้มที่ได้จากเทียนไข 1 เล่ม จึงมีหน่วยเป็นแคนเดลา (Candela, cd)
- ค่าความส่องสว่าง (Luminance) เป็นตัวที่บอกปริมาณแสงที่สะท้อนออกมาจากวัตถุ (candela) ต่อ 1 หน่วยพื้นที่ มีหน่วยเป็น แคนเดลาต่อตารางเมตร (cd/sq.m.) บางครั้งจึงอาจเรียกว่า ความจ้า (Brightness)
- ค่าประสิทธิผล (Efficacy) เป็นปริมาณแสงสว่างที่ออกมาต่อกำลังไฟฟ้าที่ใช้ มีหน่วยวัดเป็น ลูเมนต่อวัตต์ (lm/w) หลอดที่มีค่าประสิทธิผลสูง แสดงว่า หลอดนี้ให้ปริมาณแสงออกมามากแต่ใช้กำลังไฟฟ้าน้อย
- ค่าความถูกต้องของสี (Colour Rendering, Ra หรือ CRI) เป็นค่าที่ใช้บอกว่าหลอดไฟประเภทต่าง ๆ เมื่อแสงส่องสีไปบนวัตถุจะทำให้สีของวัตถุนั้นผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด ไม่มีหน่วยแต่มักเรียกเป็น เปอร์เซ็นต์ (%) ตามค่าความถูกต้อง เช่น แสงอาทิตย์มี ค่า Ra = 100 เพราะแสงอาทิตย์ให้สเปกตรัมครบทุกสี เมื่อส่องไปบนวัตถุจะไม่เห็นความผิดเพี้ยนของสี เป็นต้น
- ค่าอุณหภูมิสีของแสง (Color Temperature) สีของแสงที่ได้จากหลอดไฟเทียบกับสีที่เกิดจากการเผาวัตถุดำอุดมคติให้ร้อนที่อุณหภูมินั้น มีหน่วยเป็นเคลวิน (K) อุณหภูมิสีเป็นตัวที่บอกว่าแสงที่ได้มีความขาวมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีค่าอุณหภูมิสีของแสงต่ำแสงที่ได้จะออกมาในโทนเหลืองหรือแดง ถ้ามีค่าอุณหภูมิสีของแสงสูงแสงที่ได้จะออกมาในโทนขาวกว่า ในท้องตลาดทั่วไปมีให้เลือก 3 โทนสีนอกจากนี้แล้วสิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติม คือ โทนสีของอุณหภูมิสีของแสง เพื่อให้สามารถได้แสงตามต้องการ โดยโทนสีของหลอดไฟในปัจจุบัน มีดังนี้
สีวอร์มไวท์ (Warm White) ให้แสงสีแดงออกโทนส้ม เป็นโทนสีร้อนโทนอบอุ่น ค่าอุณหภูมิสีของแสงอยู่ที่ ต่ำกว่า 3,000 เคลวิน
สีคูลไวท์ (Cool White) ให้แสงสีจะเริ่มออกมาทางสีขาว เป็นโทนสีที่ดูเย็นสบายตา ดูค่อนข้างสว่างกว่าเมื่อเทียบกับสีวอร์มไวท์ ค่าอุณหภูมิสีของแสงอยู่ที่ 3,000 - 4,500 เคลวิน
สีเดย์ไลท์ (Day Light) ให้แสงสีโทนออกขาวอมฟ้า แต่คล้ายแสงธรรมชาติตอนเวลากลางวัน ดังนั้นค่าความถูกต้องของสีจึงมีมากกว่าเมื่อเทียบกับสีวอร์มไวท์หรือสีคูลไวท์
ค่าอุณหภูมิสีของแสงอยู่ที่ 4,500 - 6,500 เคลวิน ขึ้นไป
5) พิจารณาถึงค่าความสว่างที่เหมาะสม โดยสมาคมไฟฟ้าและแสงสว่างแห่งประเทศไทย ได้มีการกำหนดค่าความส่องสว่างที่เหมาะสมของแต่ละห้องในบ้าน ดังตารางตารางความส่องสว่างในพื้นที่ใช้งานต่าง ๆ ในบ้านอยู่อาศัยพื้นที่ ความส่องสว่างที่พื้นที่(ลักซ์)ความส่องสว่างรอบข้าง(ลักซ์)
ทางเข้า 150/500 60/100 ห้องครัว 500/750 250/350 ห้องรับประทานอาหาร 300 100 ห้องนั่งเล่น 60/300 60 ห้องทำงาน 300 150 ห้องน้ำ 500 200 ห้องน้ำแขก 250 10 ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า 500 200 ห้องนอนใหญ่ 300/500 100/150 ห้องนอนเด็ก 300 150 ทางเดิน 150 50 บันได 200 60 ถนนทางเข้าบ้าน 300 100 ที่มา : สมาคมไฟฟ้าและแสงสว่างแห่งประเทศไทย สามารถคำนวณจำนวนหลอดไฟที่ต้องติดในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้ได้ความส่องสว่างที่ เหมาะสม ได้ดังนี้
จำนวนหลอดไฟ = ค่าความสว่าง (ลักซ์) × พื้นที่รับแสง (ตารางเมตร) อัตราพลังงานแสงที่ตกบนพื้นที่ (ลูเมน)โดยที่ จำนวนหลอดไฟ คือ จำนวนหลอดไฟที่จะติดในหนึ่งพื้นที่ ค่าความสว่าง (ลักซ์) คือ ความส่องสว่างในพื้นที่ใช้งานต่าง ๆ ในบ้านอยู่อาศัยที่ เหมาะสม (สามารถดูได้จากตารางความส่องสว่างในพื้นที่ใช้งานต่าง ๆ ในบ้านอยู่อาศัย) พื้นที่รับแสง (ตารางเมตร) คือ พื้นที่รับแสงต่อหนึ่งห้อง อัตราพลังงานแสงที่ตกบนพื้นที่ (ลูเมน) คือ ค่าความสว่างของหลอดไฟ (สามารถดูได้จากกล่องหลอดไฟ)
6) พิจารณาโดยคำนึงถึงการประหยัดพลังงานไฟฟ้า หลอดไฟแต่ละชนิดจะใช้ พลังงานไฟฟ้าแตกต่างกัน โดยหลอด LED จะประหยัดไฟฟ้ามากที่สุด ซึ่งสามารถเปรียบเทียบการ ใช้พลังงานไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายของหลอดไฟทั้ง 3 แบบ ได้ดังตาราง
ตารางประสิทธิภาพของพลังงานและค่าใช้จ่ายจากหลอดไฟแต่ละประเภท
หัวข้อ หลอดไส้ หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ หลอด LED ค่าเฉลี่ยอายุการใช้งาน (ชั่วโมง)
1,200 8,000 50,000 ค่าเฉลี่ยประสิทธิภาพการส่อง สว่าง (ลูเมนต่อวัตต์) 12.5 – 17.5 45 – 75 69 – 100
ปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ เทียบกับ หลอดไส้ 1 หลอดต่อปี(กิโลวัตต์ต่อปี) 109.5 25.6 11.0
ค่าใช้จ่ายต่อปี เทียบกับหลอดไส้ 1 หลอดต่อปี (บาท) 424.8 94.4 37.4
ที่มา : http://www.hl.in.th/index/modules/plblog/frontent/details.php?plcn=knowled ge&plidp=6&plpn=why-we-change-to-use-led
7) ควรเลือกซื้อหลอด LED หรือหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ ที่มีฉลากเบอร์ 5 เนื่องจากกินไฟน้อย และมีอายุการใช้งานนาน
8) เลือกใช้หลอดไฟที่ได้มาตรฐาน
9) ลดจำนวนหลอดไฟในบริเวณที่อาศัยแสงธรรมชาติได้
10) ควรตั้งโคมไฟที่โต๊ะทำงาน หรือติดตั้งไฟเฉพาะจุด แทนการเปิดไฟทั้งห้องเพื่อทำงาน
11) ปิดสวิตช์ไฟ เมื่อไม่ใช้งาน
การดูแลรักษา
1) หมั่นทำความสะอาดหลอดไฟ เพราะจะช่วยเพิ่มแสงสว่าง โดยไม่ต้องใช้พลังงาน
มากขึ้น ควรทำความสะอาดอย่างน้อย 4 ครั้งต่อปี หรือทุก ๆ 3 เดือน
2) สำหรับหลอดไฟที่เก็บไว้ ควรเก็บในบริเวณที่ไม่มีการกระทบกระทั่งกันจนเกิดการ
ชำรุดเสียหาย
โดยทั่วไป เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือน มักมีการใช้พลังงานสูงแทบทุกชนิด ดังนั้นผู้ใช้ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการเลือกซื้อและการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดให้เหมาะสมและถูกวิธีเพื่อทำให้เกิดความประหยัดและคุ้มค่า ในที่นี้จะกล่าวถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการใช้ทั่วไปในครัวเรือน
ดังนี้
1. เครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า
เครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้น้ำร้อนขึ้น โดยอาศัยการพาความร้อนจากขดลวดความร้อน (Electrical Heater) ขณะที่กระแสน้ำไหลผ่าน ส่วนประกอบหลักของเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า คือ
1) ตัวถังน้ำ จะบรรจุน้ำซึ่งจะถูกทำให้ร้อน
2) ขดลวดความร้อน เป็นอุปกรณ์ที่ให้ความร้อนกับน้ำ
3) อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ จะทำหน้าที่ตัดกระแสไฟฟ้าเมื่ออุณหภูมิของน้ำถึงระดับที่ตั้งไว้
ภาพส่วนประกอบต่าง ๆ ของเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า
การเลือกซื้อและการใช้อย่างถูกวิธีและประหยัดพลังงาน
1) เลือกเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการใช้ สำหรับบ้านทั่วไปเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า ขนาดไม่เกิน 4,500 วัตต์ ก็น่าจะเพียงพอ ซึ่งจะช่วยทั้งประหยัดไฟฟ้าที่ใช้ในเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าและปั๊มน้ำ
2) ตั้งอุณหภูมิน้ำไม่สูงจนเกินไป (ปกติอยู่ในช่วง 35 - 45 ํC)
3) ใช้หัวฝักบัวชนิดประหยัดน้ำ จะช่วยประหยัดน้ำได้ถึง ร้อยละ 25 - 75
4) ใช้เครื่องทำน้ำอุ่นที่มีถังน้ำภายในตัวเครื่องและมีฉนวนหุ้ม เพราะสามารถลดการใช้พลังงานได้มากกว่าชนิดที่ไม่มีถังน้ำภายใน ร้อยละ 10 - 20
5) ปิดวาล์วน้ำและสวิตช์ทันทีเมื่อเลิกใช้งาน
6) ไม่เปิดเครื่องตลอดเวลาขณะฟอกสบู่อาบน้ำ หรือขณะสระผมค่าไฟฟ้าของเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าขนาดต่าง ๆ เมื่อใช้งานเป็นเวลา 1 ชั่วโมงขนาดเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า ค่าไฟฟ้าต่อชั่วโมงโดยประมาณ
ขนาดเล็ก (3,000 - น้อยกว่า 5,000 วัตต์) 13.20 บาท ขนาดกลาง (5,000 - น้อยกว่า 8,000 วัตต์) 18.00 บาท ขนาดใหญ่ (8,000 วัตต์ ขึ้นไป) 24.00 บาท
การดูแลรักษาและความปลอดภัย
1) หมั่นตรวจสอบการทำงานของเครื่องให้มีสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบความปลอดภัยของเครื่อง
2) ตรวจดูระบบท่อน้ำและรอยต่ออย่าให้มีการรั่วซึม
3) เมื่อพบความผิดปกติในการทำงานของเครื่อง ควรให้ช่างผู้ชำนาญตรวจสอบ
4) ต้องมีการต่อสายดิน
2. กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า
กระติกน้ำร้อนไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ในการต้มน้ำให้ร้อน ประกอบด้วยขดลวดความร้อน(Electrical Heater) อยู่ด้านล่างของกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า และอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ(Thermostat) เป็นอุปกรณ์ควบคุมการทำงานเมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวด จะเกิดความร้อน และถ่ายเทไปยังน้ำภายในกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า ทำให้น้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนถึงจุดเดือด จากนั้นอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิจะตัดกระแสไฟฟ้าในวงจรหลักออกไป แต่ยังคงมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดความร้อน และแสดงสถานะนี้ โดยหลอดไฟสัญญาณอุ่นจะสว่างขึ้น เมื่ออุณหภูมิของน้ำร้อนภายในกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าลดลงจนถึงจุด ๆ หนึ่ง อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิจะทำงานโดยปล่อยให้กระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดความร้อนเต็มที่ทำให้น้ำเดือดอีกครั้งกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าโดยทั่วไปที่มีจำหน่ายในท้องตลาดจะมีขนาดความจุตั้งแต่ 2 - 4 ลิตร และใช้กำลังไฟฟ้าระหว่าง 500 - 1,300 วัตต์
ภาพส่วนประกอบหลักของกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า
การเลือกซื้อและการใช้อย่างถูกวิธีและประหยัดพลังงาน
1) เลือกซื้อรุ่นที่มีตรามาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.)
2) ใส่น้ำให้พอเหมาะกับความต้องการหรือไม่สูงกว่าระดับที่กำหนดไว้ เพราะจะทำให้กระติกน้ำร้อนไฟฟ้าเกิดความเสียหาย
3) ระวังอย่าให้น้ำแห้ง หรือปล่อยให้ระดับน้ำต่ำกว่าขีดที่กำหนด เพราะจะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรในกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า เป็นอันตรายอย่างยิ่ง
4) ถอดปลั๊กเมื่อเลิกใช้น้ำร้อนแล้ว เพื่อลดการสิ้นเปลืองพลังงาน ไม่ควรเสียบปลั๊กตลอดเวลา แต่หากมีความต้องการใช้น้ำร้อนเป็นระยะ ๆ ติดต่อกัน เช่น ในที่ทำงานบางแห่งที่มีน้ำร้อนไว้สำหรับเตรียมเครื่องดื่มต้อนรับแขก ก็ไม่ควรถอดปลั๊กออกบ่อย ๆ เพราะทุกครั้งเมื่อดึงปลั๊กออกอุณหภูมิของน้ำจะค่อย ๆ ลดลง กระติกน้ำร้อนไฟฟ้าไม่สามารถเก็บความร้อนได้นาน เมื่อจะใช้งานใหม่ก็ต้องเสียบปลั๊ก และเริ่มต้มน้ำใหม่ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงาน
5) อย่านำสิ่งใด ๆ มาปิดช่องไอน้ำออก
6) ตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในสภาพใช้งานได้เสมอ
7) ไม่ควรตั้งไว้ในห้องที่มีการปรับอากาศ ค่าไฟฟ้าของกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าขนาดต่าง ๆ เมื่อใช้งานเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ขนาดของกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า ค่าไฟฟ้าต่อชั่วโมงโดยประมาณ 2 ลิตร 2.40 บาท
2.5 ลิตร 2.60 บาท 3.2 ลิตร 2.88 บาท
การดูแลรักษา
การดูแลรักษากระติกน้ำร้อนไฟฟ้าให้มีอายุการใช้งานนานขึ้น ลดการใช้พลังงานลงและป้องกันอุบัติเหตุ หรืออันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น
1. หมั่นตรวจดูสายไฟฟ้าและขั้วปลั๊กให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เสมอ
2. ควรนำน้ำที่สะอาดเท่านั้นมาต้ม มิฉะนั้นผิวในกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าอาจเปลี่ยนสีเกิดคราบสนิมและตะกรัน
3. หมั่นทำความสะอาดตัวกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าด้านใน อย่าให้มีคราบตะกรัน ซึ่งจะเป็นตัวต้านทาน การถ่ายเทความร้อนจากขดลวดความร้อนไปสู่น้ำ ทำให้เวลาในการต้มน้ำเพิ่มขึ้นเป็นการสูญเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์
4. เมื่อไม่ต้องการใช้กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า ควรล้างด้านในให้สะอาด แล้วคว่ำลงให้น้ำออกจากตัวกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า แล้วใช้ผ้าเช็ดด้านในให้แห้ง
5. การทำความสะอาดส่วนต่าง ๆ ของกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า
- ตัวและฝากระติกน้ำร้อนไฟฟ้า ใช้ผ้าชุบน้ำบิดให้หมาดแล้วเช็ดอย่างระมัดระวัง
- ฝาปิดด้านใน ใช้น้ำหรือน้ำยาล้างจานล้างให้สะอาด
- ตัวกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าด้านใน ใช้ฟองน้ำชุบน้ำเช็ดให้ทั่ว ล้างให้สะอาดด้วยน้ำโดยอย่าราดน้ำ ลงบนส่วนอื่นของตัวกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า นอกจากภายในกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าเท่านั้น อย่าใช้ของมีคมหรือฝอยขัดหม้อขูดหรือขัดตัวกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าด้านใน เพราะจะทำให้สารเคลือบหลุดออกได้
3. พัดลม พัดลมที่ใช้ในบ้านเป็นอุปกรณ์หลักที่ช่วยในการหมุนเวียนอากาศ และระบายความร้อนภายในบ้าน ซึ่งในปัจจุบันพัดลมที่ใช้มีหลากหลายลักษณะและประเภทขึ้นอยู่กับการใช้งานส่วนประกอบหลักของพัดลม ได้แก่ ใบพัด ตะแกรงคลุมใบพัด มอเตอร์ไฟฟ้า สวิตช์ควบคุมการทำงาน และกลไกควบคุมการหมุนและส่าย ดังรูป
ภาพส่วนประกอบหลักของพัดลม
การเลือกซื้อและการใช้อย่างถูกวิธีและประหยัดพลังงาน
1. เลือกซื้อพัดลมที่เป็นระบบธรรมดา เพราะจะประหยัดไฟกว่าระบบที่มีรีโมทคอนโทรล หรือระบบไอน้ำ
2. เลือกซื้อยี่ห้อและรุ่นที่ได้รับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) และมีฉลากเบอร์ 5
3. เลือกที่มีขนาดใบพัดและกำลังไฟฟ้าให้เหมาะสม และตรงกับความต้องการใช้งาน
4) เลือกใช้ความแรงของลมให้เหมาะกับความต้องการ ความแรงของลมยิ่งมากยิ่งเปลืองไฟ
5) ปิดพัดลมทันทีเมื่อไม่ใช้งาน
6) ในกรณีที่พัดลมมีระบบรีโมทคอนโทรลอย่าเสียบปลั๊กทิ้งไว้ เพราะจะมีไฟฟ้าเลี้ยงอุปกรณ์ตลอดเวลา
7) ควรวางพัดลมในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพราะพัดลมใช้หลักการดูดอากาศจากบริเวณรอบ ๆ ทางด้านหลังของตัวใบพัด แล้วปล่อยออกสู่ด้านหน้า เช่น ถ้าอากาศบริเวณรอบพัดลมมีการถ่ายเทดี ไม่ร้อนหรืออับชื้น ก็จะได้รับลมเย็น รู้สึกสบาย และยังทำให้มอเตอร์สามารถระบายความร้อนได้ดี เป็นการยืดอายุการใช้งานอีกด้วย
การดูแลรักษา
การดูแลรักษาพัดลมอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้พัดลมทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และยังช่วยยืดอายุการทำงาน มีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้
1) หมั่นทำความสะอาดตามจุดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใบพัด และตะแกรงครอบใบพัด อย่าให้ฝุ่นละอองเกาะจับ และต้องดูแลให้มีสภาพดีอยู่เสมอ อย่าให้แตกหัก ชำรุด หรือโค้งงอ ผิดส่วน จะทำให้ลมที่ออกมามีความแรงของลมลดลง
2) หมั่นทำความสะอาดช่องลมตรงฝาครอบมอเตอร์ของพัดลม ซึ่งเป็นช่องระบายความร้อนของมอเตอร์ อย่าให้มีคราบน้ำมันหรือฝุ่นละอองเกาะจับ เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพของมอเตอร์ลดลง และสิ้นเปลืองไฟฟ้ามากขึ้น
4. โทรทัศน์ โทรทัศน์เป็นอุปกรณ์ที่แปลงสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นภาพด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความซับซ้อน มีส่วนประกอบ ดังนี้
1) ส่วนประกอบภายนอก คือ ตัวโครงที่ห่อหุ้มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จอภาพซึ่งจะมีการเคลือบสารพิเศษทางด้านใน ปุ่มหรือสวิตช์ต่าง ๆ และช่องต่อสายอากาศ เป็นต้น
2) ส่วนประกอบภายใน คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตัวรับเปลี่ยนสัญญาณที่มาในรูปขอคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นภาพและเสียง ส่วนประกอบของจอภาพและระบบเสียงรวมทั้งลำโพง
เป็นต้น
ภาพการส่งสัญญาณโทรทัศน์มายังเครื่องรับโทรทัศน์
ปริมาณพลังงานที่โทรทัศน์ใช้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและขนาดของจอภาพ โดยขนาดจอภาพของโทรทัศน์ ระบุด้วยความยาวเส้นทแยงของมุมจอภาพ โทรทัศน์แต่ละขนาดและแต่ละประเภทจะมีการใช้ไฟฟ้าแตกต่างกัน ยิ่งขนาดจอภาพใหญ่ก็จะใช้กำลังไฟฟ้ามากวัดตามเส้นทแยงมุม ชนขอบดำหน่วยเป็นนิ้ว ค่าไฟฟ้าของโทรทัศน์ชนิดและขนาดต่าง ๆ เมื่อใช้งานเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ชนิดและขนาดของจอโทรทัศน์ ค่าไฟฟ้าต่อชั่วโมงโดยประมาณ จอแบน 20 นิ้ว 0.28 บาท จอแบน 25 นิ้ว 0.67 บาท จอ LCD 26 นิ้ว 0.35 บาท จอ LCD 46 นิ้ว 0.76 บาท จอ LED 26 นิ้ว 0.20 บาท จอ LED 46 นิ้ว 0.40 บาท
การเลือกซื้อและการใช้อย่างถูกวิธีและประหยัดพลังงาน
1) การเลือกใช้โทรทัศน์ควรคำนึงถึงความต้องการในการใช้งาน โดยพิจารณาจากขนาดและการใช้กำลังไฟฟ้า สำหรับเทคโนโลยีเดียวกัน โทรทัศน์ที่มีขนาดใหญ่ ยิ่งกินไฟมากขึ้น
2) อย่าเสียบปลั๊กทิ้งไว้ เพราะโทรทัศน์จะมีไฟฟ้าหล่อเลี้ยงระบบภายในอยู่ตลอดเวลา ทำให้สิ้นเปลืองไฟ และอาจก่อให้เกิดอันตรายในขณะเกิดฟ้าแลบได้
3) ปิดและถอดปลั๊กทันทีเมื่อไม่มีคนดู หากชอบหลับหน้าโทรทัศน์บ่อย ๆ ควรใช้โทรทัศน์ รุ่นที่ตั้งเวลาปิดโดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยประหยัดไฟฟ้า
4) หากชมโทรทัศน์ช่องเดียวกันควรดูด้วยกัน ประหยัดทั้งค่าไฟ และอบอุ่นใจได้อยู่ด้วยกันทั้งครอบครัว
5) เลิกเปิดโทรทัศน์ล่วงหน้าเพื่อรอดูรายการที่ชื่นชอบ เปิดดูรายการเมื่อถึงเวลา
ออกอากาศ
6) ไม่ควรปรับจอภาพให้สว่างมากเกินไป และไม่ควรเปลี่ยนช่องบ่อย เพราะจะ ทำให้หลอดภาพมีอายุการใช้งานลดลง และสิ้นเปลืองไฟฟ้าโดยไม่จำเป็น
การดูแลรักษา
การดูแลรักษาและใช้โทรทัศน์ให้ถูกวิธี นอกจากจะช่วยให้โทรทัศน์เกิดความคงทน
ภาพที่ได้คมชัด และมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ควรมีข้อปฏิบัติ ดังนี้
1) ควรวางโทรทัศน์ไว้ในจุดที่มีการถ่ายเทอากาศได้ดี เพื่อให้เครื่องสามารถระบาย
ความร้อนได้สะดวก
2) หมั่นทำความสะอาดเป็นประจำเพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองที่เกาะบนจอภาพโดยใช้ผ้านุ่มเช็ดตัวเครื่องโทรทัศน์ ส่วนจอภาพควรใช้ผงซักฟอกอย่างอ่อน หรือน้ำยาล้างจานผสมกับน้ำเช็ดเบา ๆ จากนั้นเช็ดด้วยผ้านุ่มให้แห้ง และต้องถอดปลั๊กออกก่อนทำความสะอาดทุกครั้ง
5. เตารีดไฟฟ้า
เตารีดไฟฟ้าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีใช้กันแทบทุกครัวเรือน หากเปรียบเทียบกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ เตารีดจัดเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้กำลังไฟฟ้าสูง การทราบแนวทางการเลือกซื้อและใช้งานอย่างถูกวิธีจะสามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ ในท้องตลาดเตารีดสามารถแบ่งได้3 ลักษณะ คือ เตารีดแบบธรรมดา แบบมีไอน้ำ และแบบกดทับ ส่วนประกอบและการทำงานเตารีดมีส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วน คือ
1) ไส้เตารีดไฟฟ้า ทำมาจากโลหะผสมระหว่างนิกเกิลและโครเมียม ทำหน้าที่ให้กำเนิดความร้อนเมื่อได้รับกระแสไฟฟ้า โดยความร้อนจะมากหรือน้อยขึ้นกับส่วนผสมของโลหะและความยาวขดลวด
2) เทอร์มอสแตต ทำหน้าที่ปรับความร้อนของไส้เตารีดให้เท่ากับระดับที่ได้ตั้งไว้
3) แผ่นโลหะด้านล่างของเตารีด ทำหน้าที่เป็นตัวกดทับเวลารีด และกระจายความร้อน
แบบธรรมดา แบบไอน้ำ แบบกดทับเตารีดไฟฟ้าที่มีชนิดและขนาดต่างกัน มีอัตราการใช้กำลังไฟฟ้าไม่เท่ากัน ดังนี้
ชนิดของ เตารีดไฟฟ้า ขนาด แรงกดทับ ลักษณะ กำลังไฟฟ้า(วัตต์) ธรรมดา 1 – 2 กิโลกรัม ตัวเตามีอุปกรณ์ 3 ชิ้น คือ แผ่นโลหะ ด้ามจับและปุ่มควบคุมความร้อน750 – 1,000ไอน้ำ 1 – 2 กิโลกรัม
มีช่องไอน้ำทางด้านล่างเตารีด และวาล์วควบคุมการเปิดน้ำไหลออก 1,100 – 1,750 ชนิดของเตารีดไฟฟ้า ขนาด แรงกดทับ ลักษณะ กำลังไฟฟ้า (วัตต์)กดทับ 40 – 50 กิโลกรัมมีแผ่นความร้อนที่มีขนาดใหญ่กว่า เตารีดแบบธรรมดาและแบบไอน้ำ มีคันโยกสำหรับกดทับ 900 – 1,200 การเลือกซื้อและการใช้เตารีดไฟฟ้าอย่างถูกวิธีและประหยัดพลังงานในการใช้เตารีดไฟฟ้าอย่างประหยัดพลังงาน เราไม่ควรที่จะลดปริมาณความร้อนที่ใช้ในการรีดลง แต่ควรใช้เตารีดไฟฟ้า รีดผ้าอย่างรวดเร็วที่ระดับความร้อนที่เหมาะสมกับความหนาและชนิดของผ้า รวมทั้งควรปฏิบัติดังนี้
1) เลือกซื้อเฉพาะเตารีดไฟฟ้าที่ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) และมีฉลากเบอร์ 5
2) เลือกซื้อขนาดและกำลังไฟฟ้าให้เหมาะกับความต้องการและลักษณะการใช้งาน
3) ควรเก็บผ้าที่รอรีดให้เรียบร้อย และให้ผ้ายับน้อยที่สุด
4) ควรแยกประเภทผ้าหนาและผ้าบาง เพื่อความสะดวกในการรีด
5) ควรรวบรวมผ้าที่จะรีดแต่ละครั้งให้มากพอ การรีดผ้าครั้งละชุดทำให้สิ้นเปลือง
ไฟฟ้ามาก
6) ไม่ควรพรมน้ำมากจนเกินไป เพราะจะทำให้สูญเสียความร้อนจากการรีดมาก
7) ควรเริ่มรีดจากผ้าบาง ๆ หรือต้องการความร้อนน้อยก่อน จากนั้นจึงรีดผ้าที่ต้องการความร้อนสูง และควรเหลือผ้าที่ต้องการความร้อนน้อยส่วนหนึ่ง ไว้รีดในตอนท้าย
8) ควรถอดปลั๊กก่อนเสร็จสิ้นการรีด 3 - 4 นาทีค่าไฟฟ้าของเตารีดไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ เมื่อใช้งานเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ชนิดของเตารีดไฟฟ้า ค่าไฟฟ้าต่อชั่วโมงโดยประมาณ
เตารีดไฟฟ้าธรรมดา 4.00 บาท
เตารีดไฟฟ้าไอน้ำขนาดเล็ก 5.32 บาท
เตารีดไฟฟ้าไอน้ำขนาดใหญ่ 7.20 บาท
การดูแลรักษา
1. ตรวจดูหน้าสัมผัสเตารีดไฟฟ้า หากพบคราบสกปรก ให้ใช้ฟองน้ำชุบน้ำยาทำความสะอาดเช็ดออก เพราะคราบสกปรกจะเป็นตัวต้านทานความร้อน ทำให้สิ้นเปลืองไฟฟ้ามากขึ้นในการเพิ่มความร้อน
2. สำหรับเตารีดไฟฟ้าไอน้ำ น้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำกลั่นเพื่อป้องกันการเกิดตะกรัน ซึ่งตะกรันจะเป็นสาเหตุของการเกิดความต้านทานความร้อน
3. เมื่อเกิดการอุดตันของช่องไอน้ำซึ่งเกิดจากตะกรัน เราสามารถกำจัดได้โดยเติมน้ำส้มสายชูลงในถังเก็บน้ำของเตารีดไฟฟ้าไอน้ำ แล้วเสียบสายไฟให้เตารีดร้อนเพื่อทำให้น้ำส้มสายชูกลายเป็นไอ จากนั้นเติมน้ำลงไป เพื่อล้างน้ำส้มสายชูออกให้หมด แล้วจึงใช้แปรงเล็ก ๆทำความสะอาดช่องไอน้ำ
4. การใช้เตารีดไฟฟ้าไปนาน ๆ แม้ว่าจะไม่เกิดการเสียหายชำรุด ก็ควรมีการตรวจ
หรือเปลี่ยนอุปกรณ์ภายในบางอย่าง รวมทั้งสายไฟที่ต่อกันอยู่ซึ่งอาจชำรุด เสื่อมสภาพ ทำให้วงจร
ภายในทำงานไม่สมบูรณ์
6. ตู้เย็น
ตู้เย็น เป็นอุปกรณ์ที่มีใช้แพร่หลายในครัวเรือน เป็นอุปกรณ์ทำความเย็นเพื่อถนอมอาหารโดยการลดอุณหภูมิ ตู้เย็นเป็นอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นการเลือกและใช้ตู้เย็นอย่างเหมาะสมจะช่วยประหยัดพลังงานได้มาก
ภาพตู้เย็น
อุปกรณ์หลัก ๆ ที่ทำให้ภายในตู้เย็นเกิดความเย็น ประกอบด้วย
1. คอมเพรสเซอร์ ทำหน้าที่ในการอัดและดูดสารทำความเย็นให้หมุนเวียนในระบบของตู้เย็น
2. แผงทำความเย็น มีหน้าที่กระจายความเย็นภายในตู้เย็น
3. แผงระบายความร้อน เป็นส่วนที่ใช้ระบายความร้อนของสารทำความเย็นแผงระบายความร้อนนี้ติดตั้งอยู่ด้านหลังของตู้เย็น
4. ตัวตู้เย็นทำจากโลหะ และอัดฉีดโฟมอยู่ระหว่างกลาง เพื่อทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อนจากภายนอก โดยปกติเราระบุขนาดของตู้เย็นเป็นคิว หรือลูกบาศก์ฟุต
5. อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ สวิตช์โอเวอร์โหลด พัดลมกระจาย
ความเย็น ฯลฯความเย็นของตู้เย็นเกิดขึ้นจากระบบทำความเย็น เมื่อเราเสียบปลั๊กไฟฟ้าให้กับตู้เย็น
คอมเพรสเซอร์จะดูดและอัดไอสารทำความเย็นให้มีความดันสูงขึ้น และไหลไปยังแผงระบายความร้อนเพื่อถ่ายเทความร้อนสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก จากนั้นจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวไหลผ่านวาล์วควบคุมสารทำความเย็นเพื่อลดความดัน ไหลต่อไปที่แผงทำความเย็นเพื่อดูดความร้อนจากอาหารและเครื่องดื่มที่แช่อยู่ในตู้เย็น ณ จุดนี้ สารทำความเย็นจะเปลี่ยนสถานะกลายเป็นไอ และกลับไปยังคอมเพรสเซอร์เพื่อเริ่มวงจรทำความเย็นใหม่อีกครั้ง
การเลือกซื้อและการใช้อย่างถูกวิธีและประหยัดพลังงาน
1) เลือกซื้อตู้เย็นที่ได้รับการรับรองฉลากเบอร์ 5
2) เลือกซื้อประเภทและขนาดให้เหมาะกับความต้องการและลักษณะการใช้งาน
3) ค่าไฟฟ้าจะเพิ่มตามจำนวนครั้งของการเปิด - ปิดตู้เย็น เพราะเมื่อเปิดตู้เย็นความร้อนภายนอกจะไหลเข้าตู้เย็น ทำให้คอมเพรสเซอร์ต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อรักษาอุณหภูมิภายในตู้เย็นให้คงเดิมตามที่ตั้งไว้
4) ถ้าอุณหภูมิโดยรอบสูงขึ้น ปริมาณความร้อนจะถูกถ่ายเทเข้าไปในตู้เย็นมากขึ้นเป็นการเพิ่มภาระให้กับระบบทำความเย็น ดังนั้นจึงไม่ควรติดตั้งตู้เย็นใกล้กับแหล่งกำเนิดความร้อนใด ๆ หรือรับแสงอาทิตย์โดยตรง
5) ไม่เก็บอาหารในตู้เย็นมากเกินไป เพราะจะทำให้อุณหภูมิในตู้เย็นไม่สม่ำเสมอควรให้มีช่องว่าง เพื่อให้อากาศภายในไหลเวียนได้สม่ำเสมอ
6) ถ้านำอาหารที่มีอุณหภูมิสูงไปแช่ในตู้เย็นจะส่งผลกระทบดังนี้
(1) ทำให้อาหารต่าง ๆ ที่อยู่ในบริเวณข้างเคียงเสื่อมคุณภาพหรือเสียได้
(2) หากตู้เย็นกำลังทำงานเต็มที่จะทำให้ไอสารทำความเย็นก่อนเข้าเครื่องอัดร้อนจนไม่สามารถทำหน้าที่หล่อเย็นคอมเพรสเซอร์ได้เพียงพอ และส่งผลให้อายุคอมเพรสเซอร์สั้นลง
(3) สูญเสียพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น
7) เมื่อดึงปลั๊กออกแล้วไม่ควรเสียบปลั๊กใหม่ทันที เพราะเมื่อเครื่องหยุด สารทำความเย็นจากส่วนที่มีความดันสูงจะไหลไปทางที่มีความดันต่ำจนความดันภายในวงจรเท่ากัน ดังนั้นถ้าคอมเพรสเซอร์เริ่มทำงานทันที สารทำความเย็นยังไหลกลับไม่ทัน เครื่องจึงต้องออกแรงฉุดมากเพื่อเอาชนะแรงเฉื่อยและแรงเสียดทาน ซึ่งจะส่งผลให้มอเตอร์ของเครื่องอัดทำงานหนักและเกิดการชำรุดหรืออายุการใช้งานสั้นลงค่าไฟฟ้าของตู้เย็นขนาดต่าง ๆ เมื่อใช้งานเป็นเวลา 1 ชั่วโมง
ขนาดของตู้เย็น ค่าไฟฟ้าต่อชั่วโมงโดยประมาณ 4 คิว 0.21 บาท 6 คิว 0.27 บาท 12 คิว 0.72 บาท
การดูแลรักษา
1. สำหรับตู้เย็นที่มีแผงระบายความร้อนควรทำความสะอาดแผงระบายความร้อน ตู้เย็นสม่ำเสมอ ถ้ามีฝุ่นเกาะสกปรกมาก จะระบายความร้อนไม่ดี มอเตอร์ต้องทำงานหนัก เปลืองไฟมากขึ้น
2. อย่าให้ขอบยางประตูมีจุดชำรุดหรือเสื่อมสภาพ เพราะความร้อนจะไหลเข้าตู้เย็นทำให้มอเตอร์ต้องทำงานหนักและเปลืองไฟฟ้ามาก ตรวจสอบโดยเสียบกระดาษระหว่างขอบยางประตูแล้วปิดประตู ถ้าสามารถเลื่อนกระดาษไปมาได้แสดงว่าขอบยางเสื่อมสภาพ ควรติดต่อช่างมาเปลี่ยนขอบยาง
3. อุปกรณ์ระบายความร้อน จะติดตั้งอยู่ด้านหลังตู้เย็น เพื่อให้สามารถระบายความ
ร้อนได้ดี ควรวางตู้เย็นให้มีระยะห่างจากผนังไม่น้อยกว่า 10 ซม. ด้านบนอย่างน้อย 30 ซม. ด้านข้าง
อย่างน้อย 2 - 10 ซม.
7. หลอดไฟ
หลอดไฟ เป็นอุปกรณ์ให้แสงสว่างที่มีใช้กันทุกครัวเรือน ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต นอกจากประโยชน์ในเรื่องแสงสว่างแล้ว ยังสามารถใช้ในการตกแต่ง และสร้างบรรยากาศอีกด้วย โดยหลอดไฟที่ใช้กันอยู่มีหลายชนิด มีคุณสมบัติในการให้แสงสว่างและทางไฟฟ้าต่างกัน ดังนั้นหากผู้ใช้รู้จักเลือกใช้หลอดไฟอย่างเหมาะสม จะทำให้สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายได้มาก เพื่อให้สามารถเลือกซื้อได้อย่างถูกต้อง ผู้ใช้ควรรู้จักคุณสมบัติของหลอดไฟก่อน ซึ่งคุณสมบัติของหลอดไฟต่าง ๆ เหล่านี้ ส่วนมากมักจะมีบอกอยู่ที่ข้างกล่องหรือฉลากกำกับผลิตภัณฑ์ ก่อนซื้อจึงควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับคุณสมบัติดังกล่าว เพื่อเลือกซื้อหลอดไฟประเภทต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ต่อไปนี้คือ ชนิด คุณสมบัติและลักษณะการใช้ของหลอดไฟประเภทต่าง ๆ ที่นิยมใช้ในบ้านพักและอาคารต่าง ๆ
ชนิดของหลอดไฟ คุณสมบัติและลักษณะการใช้หลอดไส้ มีใช้กันมาหลายสิบปี สมัยก่อนนิยมใช้กับงานให้แสงสว่างในบ้านพักอาศัย ห้องอาหาร ห้องรับแขก แต่ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมเพราะกินไฟมาก คายความร้อน เปิดใช้ไม่นานหลอดจะร้อน อายุการใช้งานสั้นต้อง มีหลายขนาด เช่น 3วัตต์ 25 วัตต์ 40 วัตต์ 100 วัตต์ เป็นต้น ใช้คู่กับขั้วชนิด E14หรือ E27 แสงของหลอดไส้เมื่อส่องกับวัตถุต่างๆ แล้วสีของวัตถุจะไม่ผิดเพี้ยน ตามร้านเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ของประดับต่าง ๆ ชอบใช้กันเพราะสีสันของสินค้าจะไม่ผิดเพี้ยน และยังควบคุมปรับความเข้มของแสงด้วยสวิตช์หรี่ไฟ(Dimmer) ได้ด้วย
หลอดไส้
หลอดฟลูออเรสเซนต์หรือหลอดนีออน นิยมใช้ให้แสงสว่างทั่วไปทั้งภายในและภายนอกบ้าน อายุการใช้งานยาวนานกว่า หลอดไส้ ที่จะพบได้บ่อย เช่น
- หลอด T8 ขั้วที่ใช้ร่วมกันจะเป็น G13
- หลอดผอมจอมประหยัด T5 เป็นหลอดฟลูออเรสเซนต์
รุ่นเล็กที่สุด แต่ให้แสงสว่างเท่ากับหลอดนีออนทั่วไปและกินไฟน้อยกว่า มี 3 เฉดสี ได้แก่ สีเดย์ไลท์ สีคูลไวท์ และสีวอร์มไวท์ หลอดรุ่นนี้ใช้กับขั้ว G5- หลอดวงกลมเหมือนโดนัท ที่ติดตั้งพร้อมโคมเพดาน
มีหลายขนาด เช่น 22 วัตต์ 32 วัตต์ 40 วัตต์ เป็นต้น ใช้งานหลอดฟลูออเรสเซนต ์ พร้อมชุดขั้วหลอด
หลอด T8 หลอดวงกลม หลอด T5
ชนิดของหลอดไฟ คุณสมบัติและลักษณะการใช้
หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ เป็นหลอดที่พัฒนาขึ้นมาแทนหลอดไส้ เพื่อให้กินไฟน้อยลง ขนาดเล็กลง แต่กำลังส่องสว่างสูงขึ้น มีทั้งหลอดตะเกียบ หลอดเกลียว เป็นหลอดที่กินไฟน้อยกว่าหลอดชนิดอื่น ๆ ส่วนใหญ่ใช้งานให้แสงสว่างทั่วไปในบ้านพักอาศัย บริเวณที่ต้องเปิดไฟทิ้งไว้นาน ๆ อายุการใช้งานหลอดจะยาวนานกว่าหลอดไส้ถึง 8 เท่า และยาวนานกว่าหลอดนีออน 4 เท่า มี 2 แบบ คือ แบบมีบัลลาสต์ภายใน ใช้สวมแทนกับขั้วหลอดไส้ชนิดเกลียวได้ และแบบ บัลลาสต์ภายนอก ต้องมีขาเสียบกับบัลลาสต์ เช่น หลอดตะเกียบหลอดเกลียว หลอดจะมีอยู่ให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีเดย์ไลท์ สีคูล
ไวท์ และสีวอร์มไวท์ เหมือนหลอดฟลูออเรสเซนต์
หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์
หลอด LED (Light Emitting Diodes) เป็นหลอดไฟขนาดเล็กที่สุด แต่ให้แสงสว่างสู้เท่ากับหลอดรุ่นอื่น ๆ
หลักการทำงานของหลอด LED ต่างจากหลอดไส้ เนื่องจากเป็นหลอดไม่มีไส้ จึงไม่มีการเผาไส้หลอด หลอด LED ถึงไม่แผ่ความร้อน เพราะพลังงานส่วนใหญ่เปลี่ยนเป็นแสงไปหมดแล้ว แล้วก็อายุการใช้งานของหลอดยาวนานขึ้น ก็เพราะไม่มีการเผาไหม้นั่นเองหลอด LEDนอกจากชนิดของหลอดดังที่กล่าวมาแล้ว ยังมีหลอดไฟชนิดอื่น ๆ อีกมากมายให้ผู้ใช้ได้เลือกใช้ตามลักษณะหรือวัตถุประสงค์ของงาน เช่น ไฟส่องสว่างในรูปแบบต่าง ๆ ไฟประดับและตกแต่ง เป็นต้น
การเลือกซื้อและการใช้อย่างถูกวิธีและประหยัดพลังงาน
2) สำรวจขั้วหลอดที่ใช้ ซึ่งมีแบบขั้วเกลียว ขั้วเกลียวเล็ก ขั้วเข็ม หรือขั้วเสียบ
3) ตรวจสอบว่า ต้องมีอุปกรณ์ใดที่ใช้กับหลอดไฟ หรือ โคมไฟ เช่น หม้อแปลง บัลลาสต์ สวิตช์หรี่ไฟ เป็นต้น
4) พิจารณาคุณสมบัติของหลอดไฟ ให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยคุณสมบัติของหลอดไฟที่ต้องนำมาพิจารณา มีดังนี้
- ค่าฟลักซ์การส่องสว่าง (Luminous Flux) เป็นปริมาณแสงสว่างทั้งหมดที่ได้จากแหล่งกำเนิดแสง มีหน่วยวัดเป็นลูเมน (lm)
- ค่าความสว่าง (Illuminance) เป็นปริมาณแสงสว่างที่ตกกระทบบนวัตถุ(lumen) ต่อ 1 หน่วยพื้นที่ มีหน่วยเป็น ลูเมนต่อตารางเมตร (lm/sq.m.) หรือ ลักซ์ (Lux) นั่นเองโดยทั่วไป อาจเรียกว่า ระดับความสว่าง (Lighting level) จึงเป็นตัวที่บอกว่าแสงที่ได้เพียงพอหรือไม่
- ค่าความเข้มการส่องสว่าง (Luminous Intensity) เป็นความเข้มของแสงที่ส่องออกมาจากวัตถุ โดยทั่วไปจะวัดเป็นจำนวนเท่าของความเข้มที่ได้จากเทียนไข 1 เล่ม จึงมีหน่วยเป็นแคนเดลา (Candela, cd)
- ค่าความส่องสว่าง (Luminance) เป็นตัวที่บอกปริมาณแสงที่สะท้อนออกมาจากวัตถุ (candela) ต่อ 1 หน่วยพื้นที่ มีหน่วยเป็น แคนเดลาต่อตารางเมตร (cd/sq.m.) บางครั้งจึงอาจเรียกว่า ความจ้า (Brightness)
- ค่าประสิทธิผล (Efficacy) เป็นปริมาณแสงสว่างที่ออกมาต่อกำลังไฟฟ้าที่ใช้ มีหน่วยวัดเป็น ลูเมนต่อวัตต์ (lm/w) หลอดที่มีค่าประสิทธิผลสูง แสดงว่า หลอดนี้ให้ปริมาณแสงออกมามากแต่ใช้กำลังไฟฟ้าน้อย
- ค่าความถูกต้องของสี (Colour Rendering, Ra หรือ CRI) เป็นค่าที่ใช้บอกว่าหลอดไฟประเภทต่าง ๆ เมื่อแสงส่องสีไปบนวัตถุจะทำให้สีของวัตถุนั้นผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด ไม่มีหน่วยแต่มักเรียกเป็น เปอร์เซ็นต์ (%) ตามค่าความถูกต้อง เช่น แสงอาทิตย์มี ค่า Ra = 100 เพราะแสงอาทิตย์ให้สเปกตรัมครบทุกสี เมื่อส่องไปบนวัตถุจะไม่เห็นความผิดเพี้ยนของสี เป็นต้น
- ค่าอุณหภูมิสีของแสง (Color Temperature) สีของแสงที่ได้จากหลอดไฟเทียบกับสีที่เกิดจากการเผาวัตถุดำอุดมคติให้ร้อนที่อุณหภูมินั้น มีหน่วยเป็นเคลวิน (K) อุณหภูมิสีเป็นตัวที่บอกว่าแสงที่ได้มีความขาวมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีค่าอุณหภูมิสีของแสงต่ำแสงที่ได้จะออกมาในโทนเหลืองหรือแดง ถ้ามีค่าอุณหภูมิสีของแสงสูงแสงที่ได้จะออกมาในโทนขาวกว่า ในท้องตลาดทั่วไปมีให้เลือก 3 โทนสีนอกจากนี้แล้วสิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติม คือ โทนสีของอุณหภูมิสีของแสง เพื่อให้สามารถได้แสงตามต้องการ โดยโทนสีของหลอดไฟในปัจจุบัน มีดังนี้
สีวอร์มไวท์ (Warm White) ให้แสงสีแดงออกโทนส้ม เป็นโทนสีร้อนโทนอบอุ่น ค่าอุณหภูมิสีของแสงอยู่ที่ ต่ำกว่า 3,000 เคลวิน
สีคูลไวท์ (Cool White) ให้แสงสีจะเริ่มออกมาทางสีขาว เป็นโทนสีที่ดูเย็นสบายตา ดูค่อนข้างสว่างกว่าเมื่อเทียบกับสีวอร์มไวท์ ค่าอุณหภูมิสีของแสงอยู่ที่ 3,000 - 4,500 เคลวิน
สีเดย์ไลท์ (Day Light) ให้แสงสีโทนออกขาวอมฟ้า แต่คล้ายแสงธรรมชาติตอนเวลากลางวัน ดังนั้นค่าความถูกต้องของสีจึงมีมากกว่าเมื่อเทียบกับสีวอร์มไวท์หรือสีคูลไวท์
ค่าอุณหภูมิสีของแสงอยู่ที่ 4,500 - 6,500 เคลวิน ขึ้นไป
5) พิจารณาถึงค่าความสว่างที่เหมาะสม โดยสมาคมไฟฟ้าและแสงสว่างแห่งประเทศไทย ได้มีการกำหนดค่าความส่องสว่างที่เหมาะสมของแต่ละห้องในบ้าน ดังตารางตารางความส่องสว่างในพื้นที่ใช้งานต่าง ๆ ในบ้านอยู่อาศัยพื้นที่ ความส่องสว่างที่พื้นที่(ลักซ์)ความส่องสว่างรอบข้าง(ลักซ์)
ทางเข้า 150/500 60/100 ห้องครัว 500/750 250/350 ห้องรับประทานอาหาร 300 100 ห้องนั่งเล่น 60/300 60 ห้องทำงาน 300 150 ห้องน้ำ 500 200 ห้องน้ำแขก 250 10 ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า 500 200 ห้องนอนใหญ่ 300/500 100/150 ห้องนอนเด็ก 300 150 ทางเดิน 150 50 บันได 200 60 ถนนทางเข้าบ้าน 300 100 ที่มา : สมาคมไฟฟ้าและแสงสว่างแห่งประเทศไทย สามารถคำนวณจำนวนหลอดไฟที่ต้องติดในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้ได้ความส่องสว่างที่ เหมาะสม ได้ดังนี้
จำนวนหลอดไฟ = ค่าความสว่าง (ลักซ์) × พื้นที่รับแสง (ตารางเมตร) อัตราพลังงานแสงที่ตกบนพื้นที่ (ลูเมน)โดยที่ จำนวนหลอดไฟ คือ จำนวนหลอดไฟที่จะติดในหนึ่งพื้นที่ ค่าความสว่าง (ลักซ์) คือ ความส่องสว่างในพื้นที่ใช้งานต่าง ๆ ในบ้านอยู่อาศัยที่ เหมาะสม (สามารถดูได้จากตารางความส่องสว่างในพื้นที่ใช้งานต่าง ๆ ในบ้านอยู่อาศัย) พื้นที่รับแสง (ตารางเมตร) คือ พื้นที่รับแสงต่อหนึ่งห้อง อัตราพลังงานแสงที่ตกบนพื้นที่ (ลูเมน) คือ ค่าความสว่างของหลอดไฟ (สามารถดูได้จากกล่องหลอดไฟ)
6) พิจารณาโดยคำนึงถึงการประหยัดพลังงานไฟฟ้า หลอดไฟแต่ละชนิดจะใช้ พลังงานไฟฟ้าแตกต่างกัน โดยหลอด LED จะประหยัดไฟฟ้ามากที่สุด ซึ่งสามารถเปรียบเทียบการ ใช้พลังงานไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายของหลอดไฟทั้ง 3 แบบ ได้ดังตาราง
ตารางประสิทธิภาพของพลังงานและค่าใช้จ่ายจากหลอดไฟแต่ละประเภท
หัวข้อ หลอดไส้ หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ หลอด LED ค่าเฉลี่ยอายุการใช้งาน (ชั่วโมง)
1,200 8,000 50,000 ค่าเฉลี่ยประสิทธิภาพการส่อง สว่าง (ลูเมนต่อวัตต์) 12.5 – 17.5 45 – 75 69 – 100
ปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ เทียบกับ หลอดไส้ 1 หลอดต่อปี(กิโลวัตต์ต่อปี) 109.5 25.6 11.0
ค่าใช้จ่ายต่อปี เทียบกับหลอดไส้ 1 หลอดต่อปี (บาท) 424.8 94.4 37.4
ที่มา : http://www.hl.in.th/index/modules/plblog/frontent/details.php?plcn=knowled ge&plidp=6&plpn=why-we-change-to-use-led
7) ควรเลือกซื้อหลอด LED หรือหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ ที่มีฉลากเบอร์ 5 เนื่องจากกินไฟน้อย และมีอายุการใช้งานนาน
8) เลือกใช้หลอดไฟที่ได้มาตรฐาน
9) ลดจำนวนหลอดไฟในบริเวณที่อาศัยแสงธรรมชาติได้
10) ควรตั้งโคมไฟที่โต๊ะทำงาน หรือติดตั้งไฟเฉพาะจุด แทนการเปิดไฟทั้งห้องเพื่อทำงาน
11) ปิดสวิตช์ไฟ เมื่อไม่ใช้งาน
การดูแลรักษา
1) หมั่นทำความสะอาดหลอดไฟ เพราะจะช่วยเพิ่มแสงสว่าง โดยไม่ต้องใช้พลังงาน
มากขึ้น ควรทำความสะอาดอย่างน้อย 4 ครั้งต่อปี หรือทุก ๆ 3 เดือน
2) สำหรับหลอดไฟที่เก็บไว้ ควรเก็บในบริเวณที่ไม่มีการกระทบกระทั่งกันจนเกิดการ
ชำรุดเสียหาย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)